🍹ลำนำรัก..แดนทรายไอยคุปต์
หมื่นล้านคำรัก และ AI
มนตราเบดูอิน
บทที่ 1
คัลล์ องครักษ์แห่งอียิปต์
เสียงกลองท้องพระโรงดังสนั่น สะท้อนก้องไปทั่วโถงหินอ่อนขนาดมหึมา อากาศอบอวลด้วยกลิ่นกำยานและกลิ่นดอกไม้สดที่ถูกโปรยปรายตลอดทางเดิน เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารหลวงเรียงเป็นแถวสองฝั่ง ประกาศการเสด็จเข้าของเจ้าหญิงอัต-ตีติ ผู้เลอโฉมแห่งลุ่มน้ำไนล์
แต่สายตาของผู้คนในราชสำนักไม่ได้จับจ้องไปที่พระพักตร์งดงามของเจ้าหญิง หากแต่มุ่งตรงไปยังชายหนุ่มผู้เดินตามหลังพระนาง—คัลล์
ร่างสูงสง่าดั่งรูปสลักของเขาเป็นที่สะดุดตา แม้เพียงย่างก้าวแรกที่ปรากฏ เขามาพร้อมกับผิวสีทองแดงเข้ม แสงไฟจากคบเพลิงส่องสะท้อนให้เห็นกล้ามเนื้อที่ดูราวกับถูกปั้นขึ้นอย่างประณีต แผลเป็นจาง ๆ ที่พาดผ่านไหล่ขวาเผยถึงอดีตอันดุเดือดในสนามรบ แต่กลับเพิ่มเสน่ห์ให้เขาดูน่าเกรงขาม
สายลมแผ่วเบาพัดผ่านผ้าคลุมบางเบาที่ห่มร่างไว้เพียงบางส่วน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแกร่งใต้ผ้าไหมสีทราย ทรงผมดำยาวของเขามัดเป็นปอยหลวม ๆ ขับเน้นใบหน้าคมคาย ดวงตาสีเข้มลึกลับยิ่งกว่าทะเลทรายในยามราตรี
“คัลล์ แห่งชนเผ่าเบดูอิน” เสียงทุ้มต่ำของมหาเสนาบดีประกาศ เขาโค้งกายเล็กน้อย ร่างสูงนั้นดูนอบน้อม แต่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของผู้ไม่ยอมแพ้
สายตาของเจ้าหญิงอัต-ตีติลอบจับจ้องมองเขา ราวกับจะหยั่งลึกไปในจิตวิญญาณ “นี่คือองครักษ์คนใหม่ของข้า” พระสุรเสียงของนางราบเรียบ หากแต่แววตานั้นกลับฉายประกายร้อนแรงที่ยากจะปิดบัง
คัลล์คุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าหญิง ศีรษะของเขาโค้งต่ำจนจรดพื้นหินเย็นเฉียบ “ข้าคือดาบและโล่แห่งพระองค์” เสียงของเขาแหบต่ำ ขับเคลื่อนด้วยอำนาจแห่งความจงรักภักดี
“เจ้าจะจงรักภักดีต่อข้าจริงหรือ?” อัต-ตีติเอ่ยถาม พลางโน้มตัวลงมองเขา ใบหน้าอันงดงามของพระนางอยู่ห่างจากเขาเพียงลมหายใจ
คัลล์เงยหน้าขึ้น ดวงตาคมดุจพายุทรายสบสายตาของนางโดยไม่กะพริบ “ตราบจนข้าสิ้นลมหายใจ”
สายลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านห้องโถงใหญ่ เส้นผมดำของเขาปลิวไสวขณะที่ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสง่า เสียงกระซิบในหมู่ข้าราชสำนักดังขึ้นทันที—บางคนตั้งข้อสงสัย บางคนชื่นชม แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือเขา ทรงพลัง
คัลล์ยืนเคียงข้างเจ้าหญิงในตำแหน่งที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ความเงียบงันนั้นราวกับบทกวีที่เล่าขานถึงความลึกลับและดึงดูดใจที่รายล้อมตัวเขา
ในยามค่ำคืนอันสงัด คัลล์เฝ้าประจำการอยู่หน้าพระตำหนักเจ้าหญิง แสงจันทร์ทาบทาเงาของเขาบนกำแพงหิน ผ้าคลุมบางพริ้วไหวไปตามสายลม มือข้างหนึ่งวางบนดาบที่สะพายอยู่ข้างกาย สายตาจ้องมองไกลออกไป แต่แฝงไว้ด้วยความครุ่นคิด
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ คัลล์?” เสียงนุ่มลึกดังขึ้นจากด้านหลัง
เขาหันกลับมาเล็กน้อย เห็นเจ้าหญิงอัต-ตีติในชุดคลุมสีขาวที่ปักด้วยลวดลายทองคำ ร่างบางของนางดูบอบบาง ทว่ากลับมีบางสิ่งในแววตาของนางที่ทำให้เขาหลบตาไม่ได้
“เพียงเฝ้าคิดว่าข้าจะปกป้องพระองค์ได้ดีเพียงใด” เขาตอบ พลางก้มศีรษะเล็กน้อย
พระนางสาวเท้าขึ้นมาใกล้ ดวงตาคู่งามจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา “ข้าสัมผัสได้ว่าคำสัตย์ของเจ้า...มีบางสิ่งซ่อนเร้น”
เขาไม่ตอบ แต่ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบาง “หากพระองค์ทรงรู้จักข้า...พระองค์จะไม่สงสัยอีก”
และในความเงียบงันที่ตามมา ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นบางสิ่งที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้
(ติดตามตอนต่อไป...)
บทที่ 2
การเดินทางแห่งรักต้องห้าม
ค่ำคืนในอียิปต์อันเงียบสงัด พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลอาบไปทั่วท้องทะเลทราย ความร้อนระอุของวันกลับกลายเป็นความเย็นชื้นในยามราตรี ขบวนคาราวานของฟาโรห์รามเซสที่ 2 กำลังเคลื่อนตัวไปสู่ที่ตั้งของพีระมิดซึ่งอยู่ห่างไกล แต่ในความมืดมิดนี้ มีร่างของสองคนที่หลบซ่อนอยู่ในเงา
อัต-ตีติควบม้าไปเคียงคู่กับคัลล์ เสียงเกือกม้ากระทบทรายดังแผ่วเบา ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับหยาดน้ำค้างยามรุ่งสาง ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะที่ปกปิดความงามอันล้ำเลิศของนางไว้
“เจ้าคิดว่าพ่อของข้าจะรู้หรือไม่ว่าข้ากำลังตามเขาไป?” อัต-ตีติถามเสียงเบา พลางหันไปมองคัลล์ซึ่งขี่ม้าขนาบข้าง
“หากเขารู้ พระองค์คงส่งทหารมานำตัวพระองค์กลับตั้งแต่ยังไม่พ้นนครหลวง” คัลล์ตอบ ดวงตาของเขาสอดส่องไปตามขอบฟ้าราวกับเฝ้าระวังอันตราย
อัต-ตีติยิ้มบาง “บางครั้งข้าก็สงสัย ว่าเจ้าพูดเพื่อปลอบข้า หรือเพื่อปกป้องตนเองกันแน่”
คัลล์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่หนักแน่น “ข้าพูดเพื่อให้พระองค์มั่นใจว่าข้าจะอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ”
ยามดึก ขบวนของฟาโรห์หยุดพักค้างคืนห่างออกไปไม่ไกลนัก อัต-ตีติและคัลล์เลือกตั้งค่ายพักอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ถูกสังเกต ผ้าคลุมผืนบางถูกปูบนพื้นทรายเพื่อใช้เป็นที่นอนชั่วคราว
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าทะเลทรายยามค่ำคืนจะเงียบสงบเช่นนี้” อัต-ตีติเอ่ยพลางมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ประดับด้วยดวงดาว
คัลล์นั่งพิงต้นอินทผลัมอยู่ข้าง ๆ ดวงตาสีเข้มของเขาสบกับเธอผ่านแสงไฟจากกองเพลิงเล็ก ๆ “มันสงบ แต่ก็อันตราย”
“แล้วเจ้ากลัวอันตรายหรือไม่?” เธอถาม พลางขยับเข้ามาใกล้เขา
เขาสบตาเธออีกครั้ง ความใกล้ชิดของเธอทำให้เขารู้สึกถึงแรงเต้นของหัวใจที่ถี่ขึ้น แต่เขายังคงตอบอย่างเยือกเย็น “ข้ากลัวเพียงสิ่งเดียว”
“อะไรหรือ?”
“การทำให้พระองค์ตกอยู่ในอันตราย”
ดวงตาของอัต-ตีติอ่อนโยนลง รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก “เจ้าช่างซื่อสัตย์เหลือเกิน คัลล์” เธอกล่าว พลางวางมือลงบนแขนของเขา
เขานิ่งเงียบ แต่สัมผัสนั้นเหมือนสายลมร้อนที่พัดผ่านกลางทะเลทรายอันเยือกเย็น ราวกับสะกิดให้ไฟที่หลับใหลในตัวเขาตื่นขึ้น
“เจ้ารู้หรือไม่?” เธอกล่าวเบา ๆ ขณะที่ดวงตาของเธอจับจ้องที่เขา “ในทุกย่างก้าวที่ข้าเดินไปกับเจ้า ข้ารู้สึกว่าข้าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง”
“เพราะข้าสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างพระองค์” เขาตอบ แต่แววตาของเขาเริ่มเผยความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
“และหากข้าบอกว่า…ข้าปรารถนาให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้าตลอดไปล่ะ?”
คำพูดของเธอทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว เขาลุกขึ้นยืนและหันหลังให้เธอ “พระองค์ไม่ควรพูดเช่นนั้น”
“ทำไมเล่า? เพราะมันผิดหรือ?” เธอลุกขึ้นตามและก้าวเข้าไปใกล้เขา
“เพราะมันเป็นไปไม่ได้” เขาตอบเสียงแผ่ว แต่ในน้ำเสียงนั้นมีทั้งความปวดร้าวและความยับยั้งชั่งใจ
เธอเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเขา “แล้วถ้าข้าบอกว่า…ข้าจะทำให้มันเป็นไปได้ล่ะ?”
คัลล์หันกลับมา ดวงตาของเขาสบกับเธออีกครั้ง คราวนี้มันไม่ได้เต็มไปด้วยการต่อต้าน หากแต่เป็นความยอมจำนนต่อแรงดึงดูดที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
“เจ้าหญิง…” เขาเอ่ยเบา ๆ ก่อนที่มือของเธอจะเลื่อนมาประคองใบหน้าของเขา
“เรียกข้าว่าอัต-ตีติ” เธอกล่าว ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้
และในค่ำคืนที่ทะเลทรายเงียบงัน สองดวงใจที่ต้องห้ามกลับหลอมรวมกันอย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าดวงดาวบนฟากฟ้าได้ประทานพรให้แก่ความรักที่ไม่อาจเลี่ยงนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
บทที่ 3
เกมแห่งอำนาจและหัวใจในทะเลทราย
ยามรุ่งอรุณในทะเลทรายอียิปต์ แสงสีทองของพระอาทิตย์แรกแย้มทอดยาวไปทั่วขอบฟ้าทราย สายลมแผ่วเบาพัดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ทะเลทรายลอยมากระทบจมูก ราวกับธรรมชาติทั้งหมดกำลังกลั่นกรองความงามที่ถูกซ่อนเร้นจากสายตาผู้อื่น
อัต-ตีติยืนอยู่บนยอดเนินทราย ดวงตาคู่สวยของเธอจับจ้องไปยังเส้นขอบฟ้า พลางสูดลมหายใจลึก ร่างกายในชุดคลุมบางเบาโอบรัดผิวเนียนละเอียด ผ้าคลุมศีรษะสีขาวสะอาดพลิ้วไหวตามแรงลม ทำให้นางดูราวกับเทพธิดาผู้หลบหนีจากพรมแดนแห่งฟ้า
“พระองค์ไม่ควรเสี่ยงขนาดนี้” เสียงทุ้มต่ำของคัลล์ดังขึ้นจากด้านหลัง
เธอหันกลับไปมองเขา ร่างสูงสง่าของเขาดูตัดกับพื้นหลังทะเลทราย ดวงตาสีเข้มของเขาจับจ้องมาที่เธอด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความห่วงใยและความปรารถนา
“ข้าไม่กลัวความเสี่ยง หากมันจะนำข้าไปสู่สิ่งที่ข้าปรารถนา” อัต-ตีติกล่าว พลางก้าวเข้ามาใกล้เขา
“แต่ความปรารถนานั้นอาจพาเราไปสู่จุดจบที่เลวร้าย” คัลล์ตอบ น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่ดวงตาไม่อาจซ่อนความหวั่นไหว
เธอยิ้มบาง ก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเขา “ข้ารู้ดีว่ามันผิด ข้ารู้ดีว่าเจ้ากลัว…แต่ในดวงใจข้า เจ้าคือทุกสิ่งที่ข้าต้องการ”
คัลล์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะจับมือเธอไว้ น้ำเสียงของเขาแหบพร่าแต่หนักแน่น “ข้ารู้ว่าพระองค์มีพลังมากพอจะเปลี่ยนชะตากรรมนี้ได้ แต่ข้าเป็นเพียงชายผู้หนึ่ง...ผู้ที่ไม่สมควรจะครอบครองสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต”
“แล้วเจ้าจะปล่อยให้ข้าเป็นเพียงสิ่งล้ำค่าที่เจ้ามองจากระยะไกลอย่างนั้นหรือ?” เธอถามกลับ ดวงตาฉายแววความดื้อรั้น “ข้ารู้ว่าเจ้าปรารถนาในสิ่งเดียวกับข้า”
เขาเงียบอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาของเขาจะฉายแววเด็ดเดี่ยว “ถ้าหากข้าต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อสิ่งนั้น…ข้าก็ยินดี”
ในยามค่ำคืน ท่ามกลางกองไฟที่ลุกโชน ทั้งสองคนพักอยู่ในค่ายชั่วคราว คัลล์นั่งอยู่ข้างกองไฟ ลับดาบของเขาด้วยความนิ่งสงบ แต่หัวใจกลับไม่สงบเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ ว่าทำไมฟาโรห์ถึงกลัวข้า?” อัต-ตีติถาม ขณะก้าวเข้ามานั่งข้างเขา
“เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจเกินกว่าที่ผู้ชายจะควบคุมได้” คัลล์ตอบโดยไม่ละสายตาจากดาบของเขา
เธอยิ้มเล็กน้อย “และเจ้าก็รู้ว่า ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาควบคุมข้า ไม่ว่าจะเป็นพ่อของข้าหรือแม้กระทั่งเจ้า”
“ข้าไม่เคยคิดจะควบคุมพระองค์” เขาตอบ น้ำเสียงราบเรียบ “ข้ารู้ว่าพระองค์เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง”
“แล้วเจ้าเล่าคัลล์? เจ้าคิดว่าชะตากรรมของเจ้าคืออะไร?”
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองเธอ ดวงตาของเขาสะท้อนแสงไฟราวกับพายุทรายที่กำลังก่อตัว “ข้าไม่สนใจชะตากรรมของตัวเอง ข้าสนเพียงชะตากรรมของพระองค์”
เธอยื่นมือไปจับมือเขาไว้ ดวงตาคู่งามจับจ้องไปในดวงตาของเขา “ถ้าหากเราสองคนร่วมกัน…เจ้าจะไม่ต้องกังวลเรื่องชะตากรรมอีกต่อไป”
เช้าวันต่อมา ขบวนของฟาโรห์หยุดพักที่ค่ายใหญ่ ฟาโรห์รามเซสที่ 2 ประทับอยู่บนบัลลังก์ชั่วคราวกลางทะเลทราย อัต-ตีติและคัลล์ที่แอบตามมาตลอดถูกจับได้และถูกนำตัวเข้ามาเฝ้าพระองค์
“อัต-ตีติ! เจ้าไม่เคยเชื่อฟังข้าเลยหรือ?” ฟาโรห์เอ่ยด้วยพระสุรเสียงเกรี้ยวกราด
อัต-ตีติกลับยืดตัวตรง ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความทระนง “ข้าไม่ได้ตามมาเพราะความดื้อรั้น ข้าตามมาเพราะข้าต้องการพิสูจน์ว่าข้ามีสิทธิ์ยืนอยู่ในเกมอำนาจนี้…เช่นเดียวกับพระองค์”
ฟาโรห์นิ่งไปกับคำตอบของเธอ ขณะที่สายตาของพระองค์หันไปมองคัลล์ “แล้วชายผู้นี้เล่า? เขาเป็นใครกันแน่?”
“เขาคือคนที่จะยืนเคียงข้าตลอดไป” คำตอบของอัต-ตีติทำให้ทุกคนในค่ายตกตะลึง
ดวงตาของฟาโรห์เปลี่ยนจากความโกรธเป็นความสงสัย “เจ้าแน่ใจหรือว่าชายผู้นี้มีค่าพอที่จะยืนเคียงข้า?”
อัต-ตีติก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ข้ามั่นใจว่าคัลล์คือคนที่จะไม่เพียงแต่ยืนเคียงข้า…แต่จะช่วยข้าครองอียิปต์ด้วย”
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
บทที่ 4
แรงปรารถนาในเงาจันทร์
ยามค่ำคืนของทะเลทรายใต้เงาจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าสีดำสนิทเต็มไปด้วยดวงดาวนับล้านที่ทอประกายระยิบระยับ ราวกับพรมกำมะหยี่ที่ถูกโรยด้วยเพชรเม็ดงาม สายลมอ่อนโยนพัดผ่านทะเลทราย เสียงซู่ซ่าของเม็ดทรายเคลื่อนไหวดังก้องเบา ๆ ในความเงียบสงบ
อัต-ตีติและคัลล์พักอยู่ในค่ายเล็ก ๆ ที่ตั้งห่างจากขบวนหลักของฟาโรห์ หลังจากการเผชิญหน้ากับฟาโรห์ในเช้าวันนั้น ทั้งสองได้ถูกสั่งให้คอยอยู่ในค่ายย่อยนี้เพื่อรอคำสั่งต่อไป แต่ความใกล้ชิดและความเป็นส่วนตัวที่พวกเขาได้รับ กลับเป็นเหมือนเชื้อไฟที่กำลังจะจุดประกายให้เปลวเพลิงในหัวใจของพวกเขาลุกโชน
อัต-ตีติยืนอยู่หน้าค่าย ดวงตาคู่สวยของเธอมองทอดออกไปยังขอบฟ้า เงาจันทร์ทาบทับไปทั่วผิวเนียนละเอียดของเธอในชุดคลุมบางเบา ผ้าคลุมศีรษะหลุดออก เผยเส้นผมดำขลับที่พลิ้วไหวไปตามสายลม
“เจ้าหลับหรือยัง คัลล์?” เธอเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาโดยไม่หันกลับไป
“ยัง” เสียงตอบทุ้มต่ำของเขาดังมาจากด้านหลัง
เธอหันกลับไปมองเขา คัลล์ยืนอยู่ไม่ไกลนัก แสงจันทร์กระทบกับโครงหน้าคมเข้มของเขา ทำให้เขาดูเหมือนนักรบที่หลุดออกมาจากภาพวาดโบราณ ร่างสูงใหญ่ของเขาสง่างามในท่าทีผ่อนคลาย แต่ดวงตาสีเข้มของเขาเต็มไปด้วยความลึกลับที่ไม่อาจอ่านออก
“ข้าไม่เคยเห็นแสงจันทร์สวยงามเช่นนี้มาก่อน” เธอกล่าว พลางเดินเข้าไปหาเขา
คัลล์มองเธอด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยความหวั่นไหว “หรือบางที…มันอาจเป็นเพราะพระองค์”
เธอหยุดยืนตรงหน้าเขา รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนริมฝีปากของเธอ “เจ้าชอบพูดสิ่งที่ทำให้ข้าหัวใจเต้นแรงอยู่เสมอ”
“เพราะมันเป็นความจริง” เขาตอบ ดวงตาของเขาสบกับเธอราวกับกำลังจ้องลึกเข้าไปในวิญญาณของเธอ
อัต-ตีติยื่นมือออกไปแตะที่หน้าอกของเขา รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่สอดคล้องกับจังหวะของเธอ “เจ้าเคยรู้สึกบ้างหรือไม่ ว่าความปรารถนาที่เรามีต่อกันมันยิ่งใหญ่จนเกินกว่าจะยับยั้งได้?”
เขาไม่ตอบในทันที แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความปรารถนา “ข้ารู้สึกมันทุกครั้งที่ข้าอยู่ใกล้พระองค์ และทุกครั้งที่ข้าต้องห้ามตัวเอง”
“แล้วเจ้าจะห้ามมันไปอีกนานแค่ไหน คัลล์?” เธอกล่าว น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น “ข้าไม่ได้ต้องการคำสาบานหรือความซื่อสัตย์จากเจ้า…ข้าต้องการเพียงเจ้า”
คำพูดของเธอเหมือนปลดปล่อยพันธนาการในหัวใจของเขา คัลล์ยื่นมือไปจับมือของเธอ ดึงเธอเข้ามาใกล้ จนร่างของพวกเขาแนบชิดกัน
“ข้าเคยสาบานว่าจะปกป้องพระองค์…แต่ในตอนนี้ ข้าสาบานว่าจะไม่มีอะไรพรากเราจากกันได้อีก” เขากล่าวเสียงแหบพร่า
ดวงตาของอัต-ตีติเปล่งประกาย น้ำเสียงของเธอสั่นไหวไปด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น “ถ้าเช่นนั้น…จงอย่าห้ามตัวเองอีกต่อไป”
และในค่ำคืนที่แสงจันทร์สาดส่องเหนือทะเลทราย เงาของพวกเขาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เสียงลมที่พัดผ่านกลายเป็นเสียงกระซิบของธรรมชาติที่ขับกล่อมให้กับแรงปรารถนาที่ไม่อาจต้านทานได้
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
บทที่ 5
เปลวไฟแห่งความรักที่มิอาจดับลง
แสงอาทิตย์ยามรุ่งสางสาดส่องลงมายังทะเลทรายอันเงียบสงบ กลิ่นหอมของทรายที่ร้อนระอุในอากาศผสมผสานกับลมแผ่วเบาที่พัดผ่านค่ายชั่วคราว ขณะที่ภายนอกเงียบสงัด แต่ภายในหัวใจของสองคนที่หลบซ่อนตัวกลับลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความรักที่ไม่มีวันมอดดับ
อัต-ตีตินอนเอียงตัวอยู่บนพรมผ้าทอฝีมือดี เส้นผมดำขลับของเธอคลอเคลียไปตามผิวไหล่ที่เปลือยเปล่า แสงอ่อนจางของอรุณรุ่งกระทบผิวเนียนละเอียด ราวกับเธอคือเทพธิดาที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลนิรันดร์ ใกล้กันนั้น คัลล์นั่งพิงเสาเต็นท์ สายตาของเขาจับจ้องมาที่เธอราวกับถูกสะกด
เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยมีสิ่งใดในชีวิตที่ทำให้เขาหวาดหวั่นไปพร้อมกับรู้สึกเต็มเปี่ยมเช่นนี้ ความปรารถนา ความรัก และความกลัวทั้งหมดหลอมรวมกันในดวงตาสีเข้มของเขา
“เหตุใดเจ้าจึงจ้องมองข้าเช่นนั้น?” อัต-ตีติถามด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความขี้เล่น
คัลล์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ “เพราะข้ากลัวว่าหากละสายตาไป พระองค์อาจหายไปเหมือนความฝัน”
เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งตรงหน้าเขา ใบหน้างามของเธออยู่ใกล้กับเขาเพียงลมหายใจ “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าข้าไม่ใช่ความฝัน แต่ข้าคือความจริงที่เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
เขายื่นมือออกไปสัมผัสแก้มของเธอ เบาเสียจนแทบไม่รู้สึก “ข้ารู้…แต่ความจริงนี้ช่างอันตรายเหลือเกิน”
“อันตรายงั้นหรือ?” เธอกระซิบ รอยยิ้มที่มุมปากของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ “แล้วเจ้ากลัวอันตรายเหล่านั้นหรือไม่?”
“ไม่” เขาตอบหนักแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายไฟ “ข้ากลัวเพียงสิ่งเดียว คือการสูญเสียพระองค์”
เธอยกมือขึ้นจับมือของเขาที่วางอยู่บนแก้มเธอ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของเธอแตะที่หน้าผากของเขาเบา ๆ ราวกับคำสาบานที่ไม่ต้องการคำพูด
“ถ้าเช่นนั้น…อย่าปล่อยให้เปลวไฟนี้มอดดับลง” เธอกระซิบเสียงแผ่วเบา แต่คำพูดของเธอหนักแน่นราวกับคำประกาศิต
คัลล์ไม่อาจห้ามตัวเองอีกต่อไป เขายื่นมือโอบรอบเอวของเธอ ดึงเธอเข้ามาใกล้จนร่างของพวกเขาแนบชิดกัน ลมหายใจของเขาและเธอหลอมรวมกันในความเงียบงันของเช้าวันใหม่
ความลับที่ไม่อาจซ่อนเร้น
วันเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งลึกซึ้งและเต็มไปด้วยแรงปรารถนา ทว่า ความลับนี้ไม่อาจซ่อนเร้นไปตลอดกาล ในที่สุด ฟาโรห์รามเซสที่ 2 ก็เริ่มสงสัยถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวอัต-ตีติ และการที่คัลล์ดูเหมือนจะกลายเป็นมากกว่าทหารองครักษ์ธรรมดา
ในคืนหนึ่ง ขณะที่ฟาโรห์ประทับอยู่ในวิหารส่วนพระองค์ พระองค์ได้เรียกอัต-ตีติมาเฝ้า
“เจ้าซ่อนอะไรบางอย่างจากข้า ใช่หรือไม่?” ฟาโรห์ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา
อัต-ตีติไม่แสดงความหวาดกลัว เธอยืดตัวตรง ดวงตาคู่งามของเธอจับจ้องพระบิดาอย่างมั่นคง “หากข้าซ่อนบางสิ่ง นั่นเป็นเพราะข้ารู้ว่าพระองค์จะไม่มีวันเข้าใจ”
“แล้วเจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมรับในสิ่งที่ข้ารับไม่ได้?”
“บางครั้งการยอมรับก็ไม่สำคัญเท่าความจริง” เธอตอบอย่างกล้าหาญ
เปลวไฟที่ลุกโชน
ในอีกมุมหนึ่งของวัง คัลล์เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น เขารู้ดีว่าความรักที่เขามีต่ออัต-ตีติจะนำพาอันตรายมาสู่พวกเขาทั้งสอง แต่เขาก็ไม่อาจหันหลังให้เธอได้
เมื่อเขาพบเธอในค่ำคืนนั้น เขาไม่พูดอะไรเพียงแค่โอบกอดเธอไว้แน่น ราวกับเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน
“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” เธอกล่าว น้ำเสียงของเธอมั่นคง
“ข้าสาบานว่าจะไม่ยอมให้ใครหรือสิ่งใดพรากพระองค์ไปจากข้า” คัลล์ตอบ
และในค่ำคืนที่เปลวไฟแห่งความรักยังคงลุกโชน ทั้งสองต่างสาบานต่อกันว่าพวกเขาจะไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมที่โหดร้าย
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
บทที่ 6
จุดเปลี่ยนผัน
ท้องฟ้าของอียิปต์ยามรุ่งสางเป็นสีทองแดงสวยงาม ขบวนของฟาโรห์รามเซสที่ 2 เคลื่อนตัวไปตามทะเลทรายที่กว้างใหญ่ ด้วยทหารองครักษ์รายล้อมและรถศึกที่ประดับด้วยทองคำส่องแสงระยิบระยับในยามเช้า คัลล์ขี่ม้าอยู่ใกล้กับรถศึกของฟาโรห์อย่างสง่างาม แม้สถานะของเขายังคงเป็นทาส แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฟาโรห์มีต่อเขาเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากหลายครั้งที่เขาพิสูจน์ความภักดี
อัต-ตีติซึ่งเดินทางมากับขบวนนี้ในฐานะธิดาของฟาโรห์ เธอนั่งอยู่ในรถศึกอีกคัน สายตาของเธอมองผ่านผ้าคลุมบางเบาไปยังคัลล์ที่ขี่ม้าเคียงข้าง เธอรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอันตราย แต่สิ่งที่เธอกลัวที่สุดไม่ใช่ภัยจากศัตรู แต่เป็นความลับในหัวใจที่อาจถูกเปิดเผย
การลอบโจมตี
เมื่อตะวันคล้อยใกล้ตกดิน ขบวนหยุดพักใกล้โอเอซิสเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ฟาโรห์รามเซสที่ 2 ทรงเสด็จออกจากรถศึกเพื่อพักผ่อน ทันใดนั้น เสียงแผ่วเบาของธนูที่พุ่งผ่านอากาศดังก้องขึ้น ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของศัตรูที่ซุ่มโจมตี
ทหารองครักษ์รีบเข้าประจำตำแหน่งเพื่อปกป้องฟาโรห์ ขณะที่ธนูหลายดอกพุ่งเข้าหมายชีวิตเขา คัลล์ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากฟาโรห์ สังเกตเห็นนักฆ่าที่เล็งธนูจากมุมสูง
“ฟาโรห์! ระวัง!” คัลล์ตะโกน ก่อนจะกระโจนไปขวางธนูที่พุ่งตรงมาหาฟาโรห์
เสียงธนูปักเข้าที่ไหล่ของเขาดังสะท้าน ร่างสูงใหญ่ของคัลล์เซถอยหลังไปเล็กน้อย แต่เขาไม่หยุด ทหารองครักษ์ชาวเบดูอินคนนี้ใช้ดาบฟันศัตรูที่วิ่งเข้ามาใกล้ฟาโรห์อย่างกล้าหาญจนพวกมันล่าถอยไปในที่สุด
แต่เมื่อศัตรูถูกกำจัดจนหมด คัลล์กลับทรุดลงกับพื้น เลือดไหลอาบไหล่และหน้าอกของเขา อัต-ตีติซึ่งเฝ้ามองอยู่จากที่ไกล รีบวิ่งเข้ามาใกล้ร่างของเขา
ความจริงที่เปิดเผย
“คัลล์! เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร!” อัต-ตีติร้องไห้ เสียงของเธอสั่นเครือ มือเรียวบางของเธอกดลงบนบาดแผลของเขาเพื่อหยุดเลือดไหล
ดวงตาของคัลล์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจับจ้องไปที่เธอ “ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทิ้งพระองค์ไป…แม้แต่ในยามนี้”
ฟาโรห์รามเซสที่ 2 ทรงยืนมองภาพนั้นอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยอำนาจ “อัต-ตีติ เจ้าบอกข้าตามตรง ว่าสิ่งที่ข้าสงสัยในหัวใจของเจ้ากับเขา…คือความจริงใช่หรือไม่?”
อัต-ตีติไม่อาจหลบสายพระเนตรของพระบิดาได้อีก เธอพยักหน้า น้ำตาอาบแก้ม “ใช่เพคะ…ข้ารักเขา”
ฟาโรห์ทรงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลและความโกรธผสมผสานกัน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าความรักเช่นนี้จะนำพาหายนะมาสู่ข้าและเจ้าทั้งคู่?”
“ข้ารู้เพคะ…แต่ข้าไม่อาจเลือกหัวใจของข้าได้”
การตัดสินใจของฟาโรห์
ในค่ำคืนเดียวกันนั้น ฟาโรห์รามเซสที่ 2 ทรงครุ่นคิดอยู่ภายในวิหารชั่วคราว ความกล้าหาญของคัลล์ที่ช่วยชีวิตพระองค์ไว้ทำให้พระองค์รู้สึกสำนึกบุญคุณ แต่ความรักต้องห้ามระหว่างคัลล์และอัต-ตีติคือสิ่งที่พระองค์ไม่อาจเพิกเฉย
รุ่งเช้า ฟาโรห์ได้เรียกทั้งสองมาพบ “คัลล์ เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ และข้าตระหนักดีว่าเจ้ามีค่ามากเพียงใด ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าในสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าและธิดาของข้า แต่…เจ้าจะต้องพิสูจน์ตัวเองต่อราชินีและเหล่าขุนนาง หากพวกเขายอมรับเจ้า เจ้าจึงจะได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับอัต-ตีติ”
ความหวังในอนาคต
แม้สถานการณ์จะยังคงเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่สำหรับคัลล์และอัต-ตีติ สิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันอย่างถูกต้อง
เมื่อคัลล์ฟื้นตัวจากบาดแผล เขาและอัต-ตีติมองตากันอย่างมั่นใจ ทั้งสองรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ยังอีกยาวไกล แต่พวกเขาพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
บทที่ 7
รุ่งอรุณและอิสระของหัวใจ
วิหารแห่งราชินีเคมาร์เงียบสงัดในยามค่ำคืน เสียงลมหอบเบาที่พัดผ่านผ้าม่านบางพลิ้วในห้องบรรทมของนางดังก้องท่ามกลางความมืด ราชินีบาบิโลนผู้สง่างามนอนหลับตาพริ้ม ร่างของนางห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมสีทองบางเบาประดับด้วยลวดลายที่แสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่ง
ในความฝันที่ลึกลับ นางเห็นตนเองอยู่ในวิหารแห่งเทพเจ้า ภายในนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกำยาน และเปลวไฟจากคบเพลิงข้างเสายักษ์ส่องแสงสีทองแดงอบอุ่น เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏตัวต่อหน้าราชินีในชุดคลุมสีทองระยิบระยับ พระองค์อุ้มเด็กทารกชายไว้ในอ้อมแขน เด็กน้อยมีผิวพรรณนวลใส ดวงตากลมโต ส่องประกายเหมือนแสงดวงดาว
เทพเจ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานเหมือนเสียงระฆังแห่งสวรรค์ “เด็กคนนี้คือของขวัญจากเรา เขาคือผู้ที่จะนำพาสันติสุขมาสู่ดินแดนของเจ้า แม้มันจะไม่ยืนยาวตลอดไป แต่จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ เขาจะเป็นฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ หลานของเจ้า เคมาร์”
ราชินีรู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจขณะเทพเจ้ายื่นเด็กชายมาให้ พระนางรับเด็กไว้และก้มลงจูบที่หน้าผากเล็ก ๆ ของเด็กน้อย ความรู้สึกอันลึกซึ้งอบอวลไปทั่วร่าง ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะจางหายไป
การทำนายแห่งโชคชะตา
เคมาร์ตื่นขึ้นในความมืด ร่างของนางชุ่มเหงื่อ แต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด พระนางเรียกนักบวชจากวิหารหลวงมาพบในทันที เล่าถึงความฝันอันน่าพิศวงนี้อย่างละเอียด
นักบวชผู้สูงวัยก้มหน้าพินิจพิเคราะห์พลางสวดมนต์ขอคำชี้แนะจากเทพเจ้า “พระองค์…ความฝันนี้เป็นนิมิตที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ราชวงศ์อียิปต์อาจได้รับฟาโรห์องค์ใหม่ที่จะนำพาสันติสุขมาสู่ดินแดนของเรา แม้ว่าเส้นทางอาจเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ผลลัพธ์จะเป็นความรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”
แม้นักบวชจะไม่สามารถระบุความหมายที่ชัดเจนได้ แต่เคมาร์กลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในอากาศ เหมือนชะตากรรมของอียิปต์กำลังจะถูกกำหนดขึ้นอีกครั้ง
ข่าวการกลับมาของฟาโรห์
ในเช้าวันถัดมา ข่าวดีมาถึงวังหลวงเมื่อทหารที่ติดตามขบวนของฟาโรห์รามเซสที่ 2 กลับมาพร้อมข่าวว่า ฟาโรห์และขบวนของพระองค์จะเสด็จกลับถึงวังในอีกสองวัน พระองค์ปลอดภัยดีและเดินทางกลับพร้อมธิดาอัต-ตีติ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ราชินีเคมาร์มีความสุขลึก ๆ ในหัวใจ แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าความฝันนั้นเกี่ยวข้องกับการเดินทางครั้งนี้อย่างไร เด็กชายในฝันของเธอจะเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของอัต-ตีติและคัลล์หรือไม่?
สายใยที่ลึกซึ้ง
ในระหว่างที่ขบวนเดินทางกลับมายังวังหลวง คัลล์และอัต-ตีติยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกที่ทั้งคู่มีต่อกันเพิ่มพูนจนไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป แม้ว่าในดินแดนทะเลทรายที่กว้างใหญ่จะเต็มไปด้วยสายลมและความเงียบงัน แต่หัวใจของพวกเขากลับเต้นแรงและดังราวกับจะระเบิดออกมา
“อัต-ตีติ” คัลล์เอ่ยเรียกเสียงเบาในคืนหนึ่งขณะที่พวกเขาหยุดพักในโอเอซิส
อัต-ตีติเหลียวมองเขา สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เจ้ามีสิ่งใดจะพูดหรือ คัลล์?”
เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะหลังมือของเธอ “ข้าไม่รู้ว่าชะตากรรมของเราจะเป็นเช่นไร แต่ข้าสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างพระองค์ ไม่ว่าข้าจะต้องเผชิญสิ่งใด”
อัต-ตีติมองเข้าไปในดวงตาของเขา เหมือนว่าพวกเขากำลังสื่อสารกันผ่านความเงียบ
การเตรียมรับอนาคต
เมื่อขบวนถึงวังหลวงในรุ่งอรุณวันถัดมา เคมาร์ยืนรอต้อนรับด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แต่ก็เปี่ยมด้วยความหวัง นางมองดูรามเซสที่ 2 เสด็จลงจากรถศึกอย่างสง่างาม และในสายตาของเขา พระนางเห็นประกายแห่งการตัดสินใจบางอย่าง
อัต-ตีติและคัลล์ก้าวตามฟาโรห์มาอย่างเงียบ ๆ แต่เคมาร์กลับจับสังเกตความใกล้ชิดระหว่างทั้งสองได้ทันที สัญชาตญาณของนางบอกว่านี่คือจุดเริ่มต้นของชะตากรรมที่เชื่อมโยงกับความฝันของนาง
(โปรดติดตามตอนต่อไป…)
บทที่ 8
การสร้างอนาคตแห่งรักและการมาถึงของสายใยที่ยิ่งใหญ่
ดวงอาทิตย์ของอียิปต์กำลังลอยขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า สาดแสงสีทองไปทั่วผืนทรายกว้างใหญ่ที่ดูเหมือนไร้จุดสิ้นสุด ขณะที่สายลมอุ่นพัดโชยมาสัมผัสใบหน้าของอัต-ตีติ ธิดาแห่งฟาโรห์ นางยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้องของตัวเอง มือข้างหนึ่งแตะที่หน้าท้องเบา ๆ ดวงตาสีนิลที่มักแฝงด้วยประกายแห่งความมุ่งมั่น บัดนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความสงสัย
นางรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในร่างกายตนเอง ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นสิ่งที่แม้แต่หัวใจของนางยังไม่อาจปฏิเสธได้ ความรักที่นางมีต่อคัลล์ไม่เพียงเติมเต็มจิตใจ แต่ตอนนี้มันได้กลายเป็นสายใยแห่งชีวิตที่เติบโตอยู่ในตัวของนาง
คำสารภาพในเงาสว่าง
อัต-ตีติไม่อาจเก็บความสงสัยนี้ไว้เพียงลำพังได้อีกต่อไป นางเดินตรงไปหาคัลล์ที่กำลังฝึกซ้อมดาบอยู่ในลานฝึก เสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่ว แต่เมื่อเขาเห็นนาง คัลล์หยุดทันที ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองเธออย่างอบอุ่นและสงสัย
“เจ้าดูเหนื่อยล้า อัต-ตีติ” คัลล์เอ่ยด้วยความเป็นห่วง “มีสิ่งใดที่รบกวนใจหรือ?”
อัต-ตีติเดินเข้าไปใกล้ วางมือลงบนอกเขาอย่างแผ่วเบา เธอเงยหน้ามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไม่ได้เกิดจากความเศร้า แต่เป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
“ข้า...ข้าคิดว่าข้ากำลังตั้งครรภ์ คัลล์” นางพูดเสียงเบา แต่คำพูดนั้นกลับดังก้องอยู่ในจิตใจของเขา
คัลล์นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มแห่งความปิติจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาดึงอัต-ตีติเข้ามากอดแน่น ราวกับต้องการปกป้องทั้งเธอและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่กำลังเติบโตในตัวเธอ
“นี่เป็นของขวัญจากทวยเทพ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าสาบานว่าจะปกป้องเจ้าและลูกของเรา ไม่ว่าข้าจะต้องเผชิญสิ่งใด”
การเผชิญหน้ากับราชินีเคมาร์
ข่าวลือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในตัวอัต-ตีติเริ่มแพร่กระจายในวังหลวง ราชินีเคมาร์ได้ยินข่าวนั้นเช่นกัน นางนั่งอยู่ในห้องโถงส่วนตัว ทบทวนความฝันที่ยังตราตรึงในจิตใจ คำพูดของเทพเจ้าดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง “เด็กคนนี้จะเป็นฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่”
เมื่ออัต-ตีติและคัลล์ถูกเรียกตัวมาพบ ราชินีจ้องมองทั้งสองด้วยสายตาที่อ่านยาก ท่าทางสง่างามและเคร่งขรึมของนางทำให้อัต-ตีติรู้สึกกดดัน นางก้มหน้าลงอย่างหวั่นใจ ขณะที่คัลล์ยืนอยู่เคียงข้างเธออย่างมั่นคง
“อัต-ตีติ” เคมาร์เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เป็นความจริงหรือไม่ที่เจ้ากำลังตั้งครรภ์?”
อัต-ตีติพยักหน้าเบา ๆ “ใช่ พระมารดา ข้า...ข้ามีสายใยแห่งชีวิตกับคัลล์”
ราชินีหลับตาลงชั่วครู่เพื่อเก็บความคิดก่อนจะลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายแห่งการยอมรับ “ข้าเคยเห็นในความฝัน เด็กคนนี้คือชะตากรรมของอียิปต์ เป็นของขวัญจากเทพเจ้า ข้าจะไม่ขัดขวางชะตากรรมนี้อีกต่อไป”
คำพูดของนางทำให้อัต-ตีติและคัลล์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ทั้งสองโค้งคำนับต่อราชินีด้วยความเคารพและขอบคุณ
การสร้างอนาคตแห่งรัก
ต่อจากนี้ อัต-ตีติและคัลล์เริ่มวางแผนอนาคตของพวกเขา แม้ว่าอุปสรรคยังคงมีอยู่ แต่พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากราชินีเคมาร์ และนี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่พวกเขาจะสร้างครอบครัวและชีวิตใหม่ด้วยกัน
คัลล์ใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกฝนตนเองทั้งในฐานะนักรบและผู้ปกครองที่มีศักยภาพ ขณะที่อัต-ตีติใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเพื่อปกป้องลูกในครรภ์ พวกเขาทั้งคู่ต่างมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ว่าความรักและสายใยของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของอียิปต์ได้
(โปรดติดตามตอนต่อไป…)
บทที่ 9
อนาคตที่มั่นคงของฟาโรห์องค์ใหม่
ผืนทรายแห่งอียิปต์ยังคงแผดเผาด้วยแสงแห่งดวงอาทิตย์ แต่ความเปลี่ยนแปลงได้เดินทางมาถึงดินแดนแห่งนี้ วิหารสูงตระหง่านของฟาโรห์รามเซสที่ 2 ยังคงยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของราชวงศ์ แต่ทว่าภายในราชวังกลับเงียบสงัด เศร้าสลดจากการสูญเสียครั้งใหญ่
การสิ้นพระชนม์ของราชินีเคมาร์และรามเซสที่ 2
ราชินีเคมาร์ ผู้มีสายตาที่เต็มไปด้วยปัญญาและเชื่อมั่นในคำพยากรณ์ของเทพเจ้า สิ้นพระชนม์ลงหลังจากต่อสู้กับโรคร้ายเป็นเวลาหลายปี ความสูญเสียนี้ได้ทิ้งรอยร้าวในหัวใจของรามเซสที่ 2 ผู้ซึ่งแม้จะเป็นฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับพ่ายแพ้ต่อความโดดเดี่ยวที่กัดกินจิตใจ
เมื่อเวลาผ่านไป รามเซสที่ 2 ก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งดั่งหินผา กลับกลายเป็นเพียงเงาของตัวตนในอดีต จนในที่สุดพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ทิ้งบัลลังก์แห่งอียิปต์ไว้ในเงื้อมมือของคัลล์
การขึ้นครองราชย์ของคัลล์
คัลล์ อดีตนักรบหนุ่มชาวเบดูอิน ผู้เคยเป็นเพียงทาสในราชสำนัก ได้กลายเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งอียิปต์ ด้วยความสนับสนุนของอัต-ตีติและขุนนางผู้จงรักภักดี เขาก้าวขึ้นมาเป็นฟาโรห์องค์ใหม่ ผู้คนต่างพากันพูดถึงความกล้าหาญ ปัญญา และความยุติธรรมของเขา
ในพิธีราชาภิเษก คัลล์สวมมงกุฎสองชั้นแห่งอียิปต์อย่างสง่างาม สายลมทะเลทรายพัดผ่านราวกับเป็นคำอวยพรจากเทพเจ้า และข้างกายของเขาคืออัต-ตีติ ผู้ที่ไม่เคยละทิ้งเขาเลยแม้แต่วันเดียว
สายใยแห่งราชวงศ์
เวลาผ่านไปหลายปี บุตรชายของคัลล์และอัต-ตีติเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีดวงตาคมกริบและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งยังได้รับการฝึกฝนจากพ่อในเรื่องศิลปะการรบ และการปกครองจากแม่ที่เฉลียวฉลาด
คัลล์มองดูบุตรชายของเขาด้วยความภูมิใจ เขาเชื่อมั่นว่าลูกชายของเขาจะกลายเป็นฟาโรห์ที่นำพาอียิปต์ไปสู่ความสงบสุขยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าคืออนาคตของอียิปต์” คัลล์พูดกับบุตรชายในเช้าวันหนึ่ง “เจ้ามีสายเลือดของชนเผ่าผู้กล้าหาญและปัญญาของราชวงศ์ ข้ารู้ว่าเจ้าจะเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่”
ความรักที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์
ในค่ำคืนหนึ่ง ใต้แสงจันทร์ที่ส่องประกายเหนือแม่น้ำไนล์ คัลล์และอัต-ตีตินั่งเคียงข้างกันบนระเบียงวัง ความรักที่ทั้งสองมีให้กันยังคงเปล่งประกายดั่งเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ
“เราผ่านอะไรมามากมาย” อัต-ตีติเอ่ยพลางยิ้มให้สามีของเธอ “แต่ข้ารู้ว่าเราจะยังคงเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ไม่ว่าชะตากรรมจะนำพาเราไปที่ใด”
“ข้ารักเจ้า อัต-ตีติ” คัลล์ตอบ “และข้าจะรักเจ้าไปจนชั่วนิรันดร์”
ทั้งสองมองดูพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า ราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่ไม่เคยเลือนหายไป