The Billionaire's Darling
เพื่อนพ่อคนนี้..แด๊ดดี้รสเด็ด
โปรย
เขาคือผู้ชายที่เธอไม่ควรเข้าใกล้...แต่เธอก็ยังปรารถนาที่จะใกล้ เพราะเธอแทบจะหายใจไม่ได้หากไม่มีเขาเมื่อ ‘เพื่อนพ่อ’ กลายเป็นต้นตอแห่งเปลวไฟที่โหมกระหน่ำและเกมรักต้องห้าม กลายเป็นบทเรียนร้อนแรงที่สุดในชีวิต...เธอจะทำให้เขารู้…ว่าเธอไม่ใช่เด็กน้อยตัวเล็ก ลูกสาวของเพื่อนสนิทของเขาและเธอจะไม่ใช่ 'ของเล่น' ที่เขาสามารถจูบหน้าผากแล้วเดินจากไปได้ง่ายๆ
บทที่ 1
มื้อค่ำใต้แสงเทียน
เพนต์เฮาส์กลางมหานครยามค่ำเปล่งแสงระยิบระยับจากโคมไฟคริสตัลเหนือเพดานสูง กลิ่นหอมบางเบาของเทียนหอมกลิ่นมัสก์ผสมวานิลลาอบอวลอยู่ในอากาศ ผสานกับกลิ่นไวน์ชั้นเลิศที่เพิ่งจะถูกรินลงแก้ว เสียงดนตรีบรรเลงในท่วงทำนองแผ่วหวานผ่านลำโพงที่ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนในทุกมุมห้อง พร้อมกับแสงไฟสีอำพันซึ่งส่องกระทบผิวมันขัดเงาของโต๊ะอาหารตัวยาวทำจากไม้โอ๊คที่วางชิดริมหน้าต่างทรงสูงจากพื้นจรดเพดาน มองเห็นแสงสีของมหานครที่ทอดตัวอย่างไม่รู้จบด้านนอก หนึ่งในภาพของยามค่ำคืนที่ทั้งเงียบงันและเย้ายวน
ทุกมุม ทุกแสง ทุกเงา กลิ่นหอมของเนื้อวัวอบสมุนไพรที่เพิ่งยกออกจากเตาอบใหม่ๆ ลอยคลุ้งปะปนกับกลิ่นไวน์แดงชั้นดีที่ถูกเปิดออกทิ้งไว้ให้สัมผัสกับอากาศ บรรยากาศที่ถูกแต่งแต้มไว้อย่างเย้ายวนใจทำให้แขกสาวของเพนต์เฮาส์รู้สึกราวกับกำลังจะถูกกลืนหายไปในห้วงของโลกที่หรูหราและร้อนแรงเกินต้านทาน
แดเนียล วอล์คเกอร์ ยืนพิงเคาน์เตอร์บาร์ด้วยท่าทางสงบนิ่งในชุดเชิ้ตสีขาวแขนพับขึ้นถึงข้อศอก กระดุมสองเม็ดบนถูกปลดออกเพื่อผ่อนคลายความคับตึง เผยให้เห็นถึงลำคอและแผ่นอกที่ตึงแน่นของผู้ชายที่ดูแลตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ดวงตาสีเทาเข้มซึ่งเฉียบคมและตราตรึงหัวใจของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างสมส่วนบอบบางที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องอาหารพร้อมรอยยิ้มแฝงเลศนัยเล็กน้อยบนริมฝีปากอวบอิ่มของเธอ
เธียร์ เทียนบูชา วิสุทธิศักดิ์ ชะงักเท้าตรงกรอบประตูเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมา ค่ำคืนนี้เธอเลือกตัวเองไปอยู่ในชุดเดรสผ้าซาตินสีแดงเข้มเนื้อแวววาวบางเบาแนบเรือนร่าง ชายชุดไหลพลิ้วตามสรีระ สะท้อนแสงไฟอ่อนๆ ตามการเคลื่อนไหวของเธอ ผมยาวราวเส้นไหมสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอนนุ่มถูกปล่อยสยายถึงกลางหลัง รับกับผิวเนียนละเอียดอ่อนเฉกเช่นเนื้อผ้าซาตินชุดนั้น และยามเมื่อเท้าสีขาวอันเปลือยเปล่าย่างก้าวอย่างไร้เสียงบนพื้นไม้ ยิ่งเสริมให้บรรยากาศยิ่งเงียบสงัดแต่กลับแฝงความเร่าร้อนอย่างน่าประหลาด
“ขอโทษค่ะ ลุงแดน รอนานหรือเปล่าคะ?” เสียงของเธอฟังดูอ่อนหวานแฝงไว้ซึ่งความเจ้าเล่ห์และเจือไว้ซึ่งแววท้าทายเล็กน้อยในนั้น แต่ยังคงนุ่มละมุนละไมจนแทรกซึมเข้าถึงหัวใจคนฟังได้ไม่ยาก
แดเนียลจิบไวน์ของเขาก่อนจะวางมันลงบนเคาน์เตอร์ช้าๆ และหันตัวกลับมาเต็มองศา เผยให้เห็นถึงรูปร่างกำยำใต้เสื้อเชิ้ตที่พอดีตัว ไม่แน่นตึงนัก แต่ก็บอกชัดถึงกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งที่เทียนบูชาไม่อาจละสายตา
“นานพอเหมาะสำหรับมื้อค่ำกับสาวน้อยผู้งดงาม” เสียงทุ้มของเขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าฉายแววหยอกเย้า
เธอเดินเข้ามาใกล้เขา กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของดอกโบตั๋นและกลิ่นกุหลาบขาวปนกลิ่นกายสาววัยแรกแย้มลอยกรุ่นกระทบจมูกของเขาเมื่อเธอจงใจเดินผ่านเข้ามาเฉียดใกล้ แววตาของเทียนบูชาทอประกายความมั่นใจแบบเด็กสาวที่รู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์ร้ายแรงเพียงใด
“หนูอ่านหนังสือเตรียมสอบต้นเทอมเพลินจนลืมดูนาฬิกาไปเลยน่ะค่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด ขณะนั่งลงตรงข้ามกับเก้าอี้ที่นั่งประจำของเขา
“หิวแล้วสิ ใช่ไหม ถึงได้นึกได้น่ะ” เขากล่าวเจือเสียงหัวเราะเบาๆ
“เลยทำให้มื้อค่ำของคุณลุงสายกว่าปกติไปเล็กน้อย” เธอยิ้ม
โต๊ะอาหารถูกจัดไว้อย่างงดงามด้วยจานพอร์ซเลนลายทอง ซิลเวอร์แวร์เงาวับ ผ้าปูโต๊ะสีงาช้าง และเทียนสีครีมสองเล่มที่ค่อยๆ ละลายเป็นหยดไข ที่ถูกวางไว้ข้างแก้วไวน์สองใบ
แดเนียลเดินมาหยุดข้างหญิงสาว จากนั้นไวน์แดงก็ถูกรินลงในแก้วคริสตัลอย่างเงียบเชียบ “หญิงสาวที่เลิกใช้คำว่าเด็กหญิงมาไม่กี่ปีไม่น่าจะดื่มไวน์ได้เก่งหรอกนะ”
“ก็แล้วแต่คนจะสอนให้หนูดื่มล่ะค่ะ” เทียนบูชาตอบกลับพร้อมรอยยิ้มที่ละลายใจได้แม้กับก้อนหิน เธอแกว่งแก้วไวน์เบาๆ ก่อนจะก้มลงสูดกลิ่นผลไม้สุกและไม้โอ๊กลอยแตะปลายจมูก และทันทีที่ริมฝีปากสัมผัสขอบแก้ว รสชาติเข้มข้น ซับซ้อน แฝงความอบอุ่นแบบที่ทำให้ปลายลิ้นด้านในของเธอเบิกบานโดยไม่รู้ตัว
จากนั้น เสียงช้อนก็กระทบจานเบาๆ เมื่อทั้งคู่เริ่มลงมือกับมื้อค่ำ อาหารจานหลักคืนนี้คือสเต๊กเนื้อออสเตรเลียชิ้นโต เสิร์ฟพร้อมซอสไวน์แดงเข้มข้น และเมื่อคมมีดกรีดผ่านเนื้อย่างพร้อมน้ำซอสที่หยดลงบนจานยิ่งตอกย้ำถึงความนุ่มละมุนของเนื้อก้อนนั้น เทียนบูชากัดเนื้อคำเล็กอย่างช้าๆ ปล่อยให้ลิ้นเล็กๆ ของเธอสัมผัสได้ถึงความหวาน เค็ม มันจากไขมันที่แทรกในชั้นเนื้ออย่างลงตัวของรสชาติ หญิงสาวหลับตาพริ้มเบา พร้อมเสียงถอนหายใจ
“รสชาติละมุนลิ้นผิดจากเคยมากๆ ค่ำนี้ลุงแดนทำอาหารเองหรือคะ?” เทียนบูชาเอ่ยถามพลางใช้ปลายส้อมแตะเนื้อวัวสุกกำลังดีที่แค่เพียงสัมผัสก็แทบจะละลาย
“เชฟประจำบ้านลางานคืนนี้” เขาตอบเรียบๆ แต่รอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากนั้นบอกเธอว่าเขารู้ดีว่าเธอกำลังคิดอะไร
หญิงสาวกัดปลายลิ้นตัวเองเบาๆ เพื่อตั้งสมาธิให้มั่น รสชาติของอาหารที่เข้มข้นชวนให้เธอหลงลืมทุกอย่าง แต่กลิ่นกายอ่อนๆ ของเขาที่ลอยมากับอากาศในห้องกลับทำให้เธอใจเต้นถี่ขึ้น ราวกับไวน์แดงไม่ได้ไหลผ่านลำคอเธอเท่านั้น แต่มันกำลังลามไล้ไปทั่วร่าง
“ชุดนั้น...ไม่หนาวเหรอ” เขาถามเบาๆ ระหว่างจิบไวน์ ดวงตาของเขายังคงแน่วนิ่ง
เธอยกมือแตะแขนตัวเองเบาๆ ทำท่าเหมือนเพิ่งสังเกตว่าตัวเองสวมอะไรอยู่ แล้วเอียงคอยิ้ม ดวงตาสีเฮเซลของเธอวาววับราวกระต่ายน้อยจอมเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเคย “นิดหน่อยค่ะ แต่หนูชอบความรู้สึกแบบนี้ มันทำให้หนู...ตื่นตัวดี”
ริมฝีปากของแดเนียลกระตุกขึ้นนิดๆ แต่เขาไม่พูดอะไร เขาแค่นั่งมองเธอด้วยสายตาที่ทั้งประเมิน ทั้งระวัง และทั้งหลงใหลในคราวเดียวกัน แต่แม้กระนั้นเขายังคงสังเกตท่าทางนั้นโดยไม่คิดจะละสายตาไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังไม่จาง ดวงตาของเขายิ่งเข้มขึ้นเมื่อเห็นเธอยกนิ้วแตะริมฝีปากเบาๆ เพื่อเช็ดหยดไวน์ เขามองเห็นการยั่วยวนบางเบาในแววตาของเธอ มองเห็นการเล่นเกมอย่างซุกซนของหญิงสาวที่รู้ดีว่าตัวเธอเองกำลังอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างความเหมาะสมกับการห้ามใจ ผู้กำลังท้าทายในขีดจำกัดของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเสือร้ายไม่เคยทิ้งลายตรงหน้า
“หนูเห็นชั้นหนังสือของลุงแดน...มีแต่เล่มที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ หุ้น การลงทุน” เทียนบูชาเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างนุ่มนวล
“เธออ่านแล้วเข้าใจพวกมันได้ทั้งหมดหรือเปล่า?” เขาถามตอบด้วยความทึ่งใจเล็กน้อย
“ไม่หมดทุกเล่มหรอกค่ะ บางเล่มแค่พอเข้าใจบ้างคร่าวๆ ดังนั้นหนูอยากให้ลุงแดน...สอน” เธอเว้นจังหวะไว้ ขณะที่ดวงตาสีเฮเซลของเธอยังคงสบตากับดวงตาสีเทาเข้มคมโดยไม่หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย ยังคงจับจ้องที่เป้าหมายที่ทรงเสน่ห์ตรงหน้าอย่างแน่วแน่ มั่นคง “สามปี ระหว่างที่หนูต้องมาเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่ ลุงแดนคงมีเรื่องมากมายที่อยากจะสอนหนู…ใช่ไหม?”
เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มือข้างหนึ่งวางบนโต๊ะ นิ้วเรียวยาวเคาะเบาๆ ตามจังหวะเพลงในห้อง
“เทียนบูชา…” เขาเรียกชื่อของเธอเต็มยศ น้ำเสียงเจือปนบางอย่างที่ฟังดูราวกับคำเตือนจากเปลวไฟ
“คะ?” เธอเลิกคิ้วเชิงท้าทาย
“เธอรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นเพื่อนของพ่อของเธอ” เขาเอ่ยเตือนอีกหน
“แล้วลุงแดนรู้ใช่มั้ย…ว่าหนูไม่ใช่เด็กที่ว่ายน้ำไม่ได้และเกือบจมน้ำตายถ้าลุงแดนไม่กระโจนลงไปช่วยไว้ในตอนนั้น”
“เธอว่ายน้ำเก่งแล้วตอนนี้ ดังนั้นเธอจึงแวะมารังแกฉันถึงที่นี่ สามปี เพื่อมาตอบแทนบุญคุณของฉันน่ะเหรอ” ชายหนุ่มที่สูงวัยกว่าเอียงคอเล็กน้อย จิบไวน์ของเขาแล้วหัวเราะขบขันพร้อมกับปลงอนิจจังกับมุกตลกที่น่าทุกข์ทรมานนี้ของตนเบาๆ แต่ดวงตาสีเทาไม่ได้ละไปจากเธอแม้แต่วินาทีเดียวขณะที่พูดว่า “ถ้าเธอจะอยู่ที่นี่ เธอควรรู้ไว้ว่า ฉันไม่ใช่คนที่เล่นเกมโดยไม่มีขอบเขต”
“แล้วถ้าหนูอยากลองก้าวข้ามขอบเขตนั้นล่ะ?” เสียงเธอหวานจัด พร้อมสายตาที่เปล่งประกายวิบวับราวเปลวเพลิงกองเล็กๆ ที่ลุกลามช้าๆ ทว่าสม่ำเสมอ
บรรยากาศในห้องเริ่มร้อนขึ้นแม้ไม่มีใครขยับเข้าใกล้ มีเพียงเปลวเทียนดวงเล็กๆ ที่สะท้อนในดวงตาทั้งสองคู่เป็นประกายดุจแฝงไว้ด้วยเลศนัย เสียงไวน์ที่ถูกรินลงแก้วอีกครั้งดังกังวานในห้องที่เงียบ ด้วยการเคลื่อนไหวที่บางเบา เทียนบูชาลุกขึ้นช้าๆ เดินอ้อมโต๊ะไปหยุดตรงหน้าของแดเนียล เธอเอื้อมมือไปแตะแก้วไวน์ของเขา แล้วยกขึ้นดื่มโดยไม่ละสายตา ก่อนจะวางแก้วลงช้าๆ ให้ปลายนิ้วสัมผัสหลังมือของเขาเพียงแผ่วเบาคล้ายราวขนนกนุ่มๆ
สัมผัสนั้นร้อนวาบและทิ้งประกายบางอย่างไว้ในอากาศ: สิ่งที่ไม่มีเสียง ไม่มีคำกล่าว แต่ทุกเซลล์สัมผัสของร่างกายต่างรับรู้ถึงมันดี
เขาไม่ได้ขยับถอย แต่ยืนนิ่งดั่งหินผา สายตาทอแสงรุนแรงราวกับเปลวไฟที่เพิ่งปะทุ แต่ดูเหมือนคนตัวใหญ่จะกำมือไว้เพียงชั่วขณะราวข่มอารมณ์ภายใน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่คล้ายราวจะข่มขู่คนที่ตัวเด็กและบอกบางมากกว่ามาก
“ขึ้นไปนอนได้แล้ว...ก่อนที่ฉันจะลืมว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อของเธอ”
สาวน้อยจุดประกายรอยยิ้มไว้ที่มุมปากอย่างยั่วยวนเย้าใจ กลิ่นกายของเธอยังอ้อยอิ่งอยู่บนปลายนิ้วของเขาแม้เธอจะหันหลังเดินจากไป ผ้าซาตินพลิ้วไหวเบาๆ ตามจังหวะการย่างก้าว ดั่งคลื่นที่ไหวพลิ้วอย่างอิสระอยู่ในทะเลแห่งความปรารถนา
และเมื่อเสียงประตูห้องนอนที่ปิดลงตามหลังคนร่างบางเงียบงันลง...ทิ้งให้เพนต์เฮาส์ทั้งหลังอบอวลด้วยกลิ่นไวน์ เทียนไข และความเย้ายวนใจที่ยังไม่สิ้นสุดในค่ำคืนนั้น
บทที่ 2
บทเรียนแห่งเปลวไฟ
ห้องทำงานส่วนตัวของแดเนียลอยู่ชั้นบนสุดของเพนต์เฮาส์: ห้องกระจกมุมสูงที่ทอดสายตามองออกไปเห็นแสงแรกของวันส่องกระทบตึกระฟ้าเบื้องล่างเป็นประกายระยิบระยับ ทุกสิ่งที่อยู่ในห้องสะท้อนตัวตนของเจ้าของอย่างชัดเจน: เนี้ยบ หรูหรา และมีเสน่ห์แบบเย็นชาในแบบที่น่าหลงใหล พื้นไม้สีเข้มขัดมันสะท้อนแสงบางเบาของโคมไฟทองเหลือง รูปปั้นนู๊ดหินอ่อนของ โอกุสต์ รอแด็ง ตั้งอยู่มุมห้องข้างเก้าอี้หนังแท้ทรงคลาสสิก กลิ่นหนังผสมกลิ่นกาแฟจากเครื่องชงอัตโนมัติที่ยังอุ่นไอ
ในขณะที่แสงตะวันอ่อนๆ ถูกกรองผ่านผ้าม่านสีขาวบางเบา แต่ไม่อาจกลืนกลบเงาเส้นสายกำยำที่ทอดตัวอยู่เบื้องหลังโต๊ะไม้โอ๊คขนาดใหญ่ลงได้ ชายผู้นั้นนั่งไขว่ห้าง เอนพิงเก้าอี้หนังแท้สีดำสบายๆ ริมฝีปากได้รูปขบเบาๆ กับขอบถ้วยกาแฟควันกรุ่น กลิ่นหอมของเมล็ดอาราบิก้าชั้นดีผสานกับกลิ่นโคโลญจน์แนววูดดี้ที่ติดอยู่บนผิวเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนทุกการเคลื่อนไหวของเขา กำลังเผาเธอให้ลุกไหม้อยู่ภายใน
เทียนบูชาเดินเข้ามาเงียบๆ ในชุดเดรสผ้าไหมสีครีมที่รัดทรวดทรงได้อย่างเสริมเสน่ห์ยวนเย้าใจ เนื้อผ้าที่สวมใส่เป็นพื้นผิวที่เนียนเรียบซึ่งแนบไปกับผิวกายราวคล้ายกับมันจะหลอมรวมเป็นผิวหนังชั้นที่สอง ประกอบด้วยริ้วชายผ้าที่ดูเหมือนว่าจะสะท้อนได้กับทุกแสงของดวงตะวันยามเมื่อเธอขยับตัว เส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกรวบขึ้นลวกๆ โชว์ลำคอระหงที่แต้มไว้ด้วยหยดน้ำหอมลอยออกมาเป็นระลอกจางๆ และผิวของเธอเองก็ส่องประกายราวกับเคลือบไว้ด้วยละอองน้ำผึ้ง เสมือนจะเชื้อเชิญให้ฝ่ามือสีเข้มและหนาเคลื่อนไหวมาสัมผัสเมื่อใดก็ได้ตามที่เขาต้องการ และเมื่อเธอขยับ ทุกย่างก้าวดูเหมือนราวตั้งใจจะทิ้งแรงสั่นสะเทือนบางอย่างไว้ในบรรยากาศ: บางอย่างที่เขาเริ่มรู้สึก...และเกลียดตัวเองที่รู้สึก
“เช้านี้เราจะเริ่มจากการอ่านกราฟหุ้นพื้นฐาน” เสียงของแดเนียลหนักแน่น สมบูรณ์แบบ เยือกเย็นในแบบที่ข่มอารมณ์ได้อย่างมั่นคง เขาชี้ไปที่จอโน้ตบุ๊กที่แสดงเส้นกราฟเคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่น เทียนบูชาพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินอ้อมโต๊ะมายืนข้างหลังของเขา กลิ่นกายของเธออุ่นอวลเจือกลิ่นวานิลลา มะลิ และกุหลาบลอยแตะจมูกของเขาในจังหวะที่เธอก้มตัวลงพิงเก้าอี้ของคนตัวใหญ่เพื่อมองหน้าจอนั้นใกล้ๆ
ปลายนิ้วของเธอชี้ไปที่กราฟแล้วแตะปลายแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวแผ่วเบา “เส้นนี้คือ...การเทขายใช่ไหมคะ?”
แดเนียลเบือนหน้าไปเพียงเล็กน้อย ดวงตาสีเทาดุจเหล็กกล้าปะทะกับดวงตาสีเฮเซลของเธอในระยะใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจ “ใช่...มันแสดงถึงแรงขายต่อเนื่องในหุ้นที่มีข่าวลบ”
“เหมือนแรงต้านความรู้สึกที่พยายามจะเก็บไว้...แต่ยังไงก็ปิดไม่มิดใช่หรือเปล่า...” เสียงของเธอแผ่วเบา ชิดริมใบหูของเขาในระดับที่แทบไม่ได้ยิน...แต่เขาได้ยินทั้งหมด
ชายร่างสูงใหญ่ยังคงนิ่งเงียบ ไม่ตอบในทันที สายตาเบือนกลับไปมองหน้าจอ ทว่าฝ่ามือบนโต๊ะกลับกำแน่นขึ้นราวกับเขาอาจกำลังจะควบคุมบางสิ่งบางอย่างในใจ เธอมองเห็นรายละเอียดเล็กๆ นั้น แล้วหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน
“และตรงนี้ หนูยังไม่เข้าใจตรง leverage นิดหน่อยค่ะ...” เสียงหวานเอ่ยออกไปด้วยจังหวะช้า ริมฝีปากเธอเผยอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอียงตัวไปด้านหน้าอย่างจงใจ ผ้าบางแนบแน่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อหน้าอกขยับตามแรงโน้มถ่วงของโลก
แดเนียลยกสายตาขึ้นจากหน้าจอโน้ตบุ๊กเพียงนิดเดียว...นิดเดียวก็พอจะเห็นทุกเส้นสายที่เธออยากให้เขาเห็น แววตาของเขายังคงสงบนิ่งแต่ริมฝีปากขยับขึ้นคล้ายคนที่พยายามเก็บความรู้สึกบางอย่างไว้ในร่องลึกของความเงียบ “เลเวอเรจ...ก็เหมือนแรงขับที่ทำให้สิ่งเล็กกลายเป็นใหญ่...ถ้าใช้ถูกจังหวะ มันจะทำให้ผลตอบแทนทวีคูณอย่างมหาศาล”
“เหมือนเสน่ห์ใช่ไหมคะ” เธอถามกลับพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ “ที่ถ้าใช้ถูกวิธี...ก็อาจทำให้ใครบางคนเปลี่ยนไปได้”
คำพูดนั้นลอยกลางอากาศอยู่ระหว่างทั้งสองคน เงียบงันและอันตรายพอๆ กันกับไฟ
แดเนียลยังคงไม่ได้ตอบกลับในทันที เขาเพียงเอนหลังช้าๆ แล้วจ้องมองเธอด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนคนที่รู้ตัวดีทุกขณะว่ากำลังถูกยั่วเย้าจากเด็กสาวอย่างมีชั้นเชิง และเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองยังควบคุมเกมได้อยู่หรือเปล่า
“เสน่ห์...ถ้าควบคุมไม่ได้ มันก็จะทำลายคนใช้มันเหมือนกันนะ” น้ำเสียงของเขาเรียบแต่หนักแน่น ไม่ดังนักแต่ทำให้เทียนบูชารู้สึกเหมือนเสียงนั้นกระซิบอยู่ที่ซอกคอหอมกรุ่นของเธอ
“บางที...บางคนก็ยอมถูกเผา ถ้าไฟนั้นมันเร่าร้อนพอ” นิ้วเรียวยาวของเธอวางบนโต๊ะก่อนจะลากไปตามผิวไม้ด้วยจังหวะเนิบช้า เล็บเคลือบใสสะท้อนแสงแวววาวแฝงแรงปรารถนาอยู่ในทุกสัมผัส โน้มตัวลงมา และหยุดอยู่ใกล้เขามากพอที่จะได้กลิ่นลมหายใจของกันและกัน
เขาเอนตัวเล็กน้อยราวจะเลี่ยง ทว่ากลับเป็นเธอที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม ปลายนิ้วแตะลงเบาๆ ที่ปกเสื้อเชิ้ตของเขา ไล้เบาๆ ลงบนกระดุมเม็ดเล็กๆ ที่ยังติดแน่นของเขาเล่นเหมือนเด็กหญิงที่ซุกซน
เสียงหัวเราะในลำคอของเขาแผ่วเบา แต่แฝงความตึงเครียดราวกับเส้นบางๆ ที่กำลังจะขาด เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วจับข้อมือของเธอไว้ หลวมๆ แต่มั่นคงพอให้รู้ว่าเขารู้ทันเกมของเธอตลอดมา
“เธียร์...อย่าทำแบบนี้”
“แต่ใจหนูมันไม่ฟังค่ะ...” เธอตอบในทันที แล้วโน้มตัวเข้าหาเขา ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ ลมหายใจอุ่นปะทะกันจนเขารู้สึกถึงความร้อนใต้ผิวหนังที่เริ่มเดือด
เงียบ…
เขานิ่งงัน เพียงเสี้ยววินาทีถัดจากนั้น กลิ่นน้ำหอมของเธอ ความนุ่มนวลของผิวที่เพียงเฉียดผ่านเขา ความสั่นไหวเล็กๆ ของริมฝีปากอวบอิ่มของเธอที่อยู่ใกล้จนเขามองเห็นได้ทุกความละเอียด ทั้งหมดนั้นรวมกันเป็นหนึ่งในกับดักที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เขาเคยเผชิญ
และเขาก็ตอบสนอง…
ริมฝีปากของเขาสัมผัสริมฝีปากของเธอในวินาทีที่แสงไฟภายในห้องราวกับลุกไหม้ และเมื่อได้ยินเสียงของเธอครางแผ่วต่ำในลำคอ พร้อมเลื่อนมือน้อยๆ ขึ้นมาประสานไว้ที่ท้ายทอยเขา การจูบไม่เร่งร้อน แต่ลึกซึ้งและแนบแน่น ราวกับเขาต้องการจดจำทุกส่วนโค้งทุกสัมผัสของความรู้สึกที่เพิ่งเริ่มต้นนี้ให้ฝังแน่นในความทรงจำตลอดไป
ผ่ามือใหญ่กระด้างอย่างผู้ชายของเขาเลื่อนขึ้นมาโอบรอบสะโพกของเธอเบาๆ แล้วดึงเข้าหา ความอ่อนนุ่มแนบชิดกับหน้าอกแกร่ง เสียงหัวใจเต้นแรงในอกของเขาดังไม่ต่างจากเสียงเต้นของหัวใจของเธอ ทุกจังหวะสะท้อนแรงปรารถนาและการต่อต้านที่กำลังสั่นคลอน
ในความเงียบที่ร้อนแรงนั้น ไม่มีคำพูดใดถูกเปล่งออกมา มีเพียงเสียงหายใจที่ถี่กระชันขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นหอมของเครื่องหนัง ผิวกาย และกลิ่นกาแฟจางๆ ผสานกับกลิ่นของความปรารถนาที่ร้อนแรงยิ่งกว่ายาเสน่ห์
และทันใดนั้น…
เขาหยุด ก่อนที่ทุกอย่างจะลุกลามเกินควบคุม
“พอได้แล้ว...” เสียงเขาแผ่วเบาแต่ชัดเจนและไม่มองหน้าเธอตรงๆ มือใหญ่ค่อยๆ เลื่อนออกช้าๆ เหมือนต้องใช้แรงมากกว่าการยกตุ้มหินที่หนักหน่วง
เทียนบูชาไม่พูดอะไร เธอเพียงมองเขานิ่งๆ แล้วเม้มปากเบาๆ ด้วยความรู้สึกที่ล้นอก หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่แววตาไม่ได้แสดงความพ่ายแพ้แม้สักนิด
ตรงกันข้าม...มันคือแววตาของคนที่เพิ่งจุดประกายไฟได้สำเร็จ
และรู้ดีว่าเปลวไฟนั้น...จะไม่มีวันดับลงง่ายๆ
“ลุงแดนยังสอนไม่ถึงวิธีอ่านอารมณ์ของนักลงทุนเลยนะคะ”
คนตัวใหญ่ขยับตัวเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างกายสูงสง่าในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตอนนี้ปิดกล้ามอกตึงแน่นไว้ได้ด้วยกระดุมเพียงสามเม็ดจากฝีมือเด็กจมซน ดวงตาคมเข้มจ้องมองเธอด้วยแววอันตราย ร่างทั้งสองห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร
“เพราะนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ใช้หลักการวัดได้” เขาตอบเสียงต่ำ “มันต้องใช้...สัญชาตญาณ”
เทียนบูชาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบกลับเสียงนุ่ม “ซึ่งลุงแดนกำลังใช้มันอยู่ตอนนี้...กับหนู?”
แดเนียลไม่พูด แต่สายตาของเขาเคลื่อนไปทั่วใบหน้าของเธอ ไล่จากขนตาเส้นยาวที่งอนขึ้นเองตามธรรมชาติ ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มที่เพิ่งถูกจูบอย่างหนักหน่วงมาเมื่อครู่นี้ และไล่ต่ำลงมาจนถึงช่วงลำคอขาวนวลที่ขยับตามจังหวะการหายใจ ซึ่งเธอยังคงไว้ซึ่งประกายหลายอย่างในแววตา: มั่นใจ ยั่วเย้า ท้าทาย มีชีวิตชีวา
หนุ่มใหญ่เอื้อมมือไปแตะเมาส์ ก่อนจะคลิกปิดหน้าจอด้วยความเรียบเฉยเกินความจริง และเมื่อแสงจากหน้าจอดับลงไป เหลือไว้เพียงแสงธรรมชาติที่กรองผ่านม่านโปร่งบาง กลิ่นหอมของเธอรุนแรงขึ้นเมื่อเธอก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด
ปลายนิ้วของเธอแตะลงบนหลังมือของเขาอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจน ไม่อ้อมค้อม แดเนียลกุมมือของเธอไว้ในทันที น้ำหนักของแรงกดที่อยู่บนมือของเธอเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะผ่อนคลายมันออกอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังต่อสู้กับบางสิ่งในใจ … บางสิ่งที่ร้อนแรงกว่าเมื่อค่ำวันวานและเมื่อครู่นี้
“เธียร์...ฉันบอกแล้วว่าอย่าข้ามเส้น”
เทียนบูชาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนเอ่ยคำพูดที่นุ่มนวลโดยไม่เกรงกลัว “แต่ถ้าเส้นขั้นนั้นมันอยู่ตรงที่หนูยืนอยู่พอดีล่ะคะ...ไม่ได้แปลว่าคุณลุงต่างหากที่เดินเข้ามาหามันเองหรอกหรือ?”
ฝ่ามือสีแทนของเขากระชับข้อมือสีขาวนวลผ่องบอบบางของเธอแน่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะคลายออกและปลดปล่อยมัน สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่สายตาสีเทาควันทอแสง บ่งบอกว่า...เขาไม่ได้ไม่รู้สึก และกำลังต่อสู้กับความรู้สึกนั่นทุกวินาที
“เราควรหยุดไว้แค่นี้...” เขาเอ่ยเสียงเบาราวกับจะพูดกับตัวเองมากกว่า
เทียนบูชาจุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ซุกซนที่มุมปากอวบอิ่มชวนน่าจุมพิตอีกหนของเธอก่อนจะเดินอ้อมกลับไปที่เก้าอี้ของเธออีกครั้ง นั่งไขว่ห้างแล้วเปิดไอแพดขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถ้างั้น...หนูขอบทเรียนเรื่องกราฟเส้นค่าเฉลี่ยต่อเลยนะคะ คุณลุงแดเนียล”
คำว่า ‘คุณลุง’ พร้อมชื่อของเขาที่เอ่ยออกมาเต็มยศจากริมฝีปากของเธอทำเอาเขาแทบกลั้นลมหายใจ ทั้งเย้ายวน ทั้งประชดประชัน และเต็มไปด้วยเปลวไฟที่เขารู้ว่ามันจะยังคงไม่ดับลงง่ายๆ
เสียงการทำงานบนจอคอมพิวเตอร์พกพาตัวเล็กเริ่มดังขึ้นเบาๆ อีกครั้งในห้องที่เงียบงัน ที่แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังได้ยินชัดเจนได้ ทว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อุณหภูมิในอากาศดูจะสูงขึ้น แม้เครื่องปรับอากาศยังทำงานอย่างเงียบเชียบ
เขาไม่แน่ใจว่าเธอเรียนรู้เรื่องหุ้นไปถึงไหนแล้ว...แต่เขารู้แน่ชัดว่าเธอได้เริ่มบทเรียนอย่างหนึ่งให้แก่เขาแล้ว: บทเรียนแห่งไฟ และเธอก็กำลังเป็นครูสาวตัวน้อยที่แสนอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเขา
บทที่ 3
การเคลื่อนไหว…ใต้ผ้าห่มแคชเมียร์
เสียงคำรามต่ำในค่ำคืนอันมืดมิดที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่เมฆสีเทา เสียงของหยาดฝนที่กระทบกับกระจกบานใหญ่เป็นไปในจังหวะที่สม่ำเสมอ สายฟ้าที่วูบวาบสาดแสงเข้ามาในห้องนอนหรูหราของแดเนียลเป็นครั้งคราว: และแม้ว่า เสียงแป้นพิมพ์อันแผ่วเบาในห้องทำงานของเขาจะหยุดลงไปนานแล้วหลายชั่วโมง แต่เจ้าของอาณาจักรหรูหราแห่งใหญ่ใจกลางเมืองยังคงมองเห็นแต่ภาพของตัวเองที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ที่เดิมบนโต๊ะทำงานของเขา ปลายนิ้วคลึงขมับเบาๆ สายตาหนักแน่นแต่เปี่ยมไปด้วยความระมัดระวังและกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างกว้างบานใหญ่ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะภาพของบุตรสาวของเพื่อนสนิทของเขา ผู้เป็นเด็กสาวที่ทรงเสน่ห์ที่นั่งไขว่ห้างทำงานของเธอในห้องทำงานของเขาอย่างสบายๆ ยังคงวนเวียนในหัวของเขาอย่างไม่มีวันจางหายไปง่ายดาย และจากหัวใจของชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิง
และในความเงียบงันของห้องนอนใหญ่ แดเนียลก็กลับมาสู่ตัวเองหลังจากสิ้นเสียงการเคาะประตูที่เขารู้ทันทีว่าคนที่ก่อกำเนิดเสียงนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ แต่คนตัวใหญ่ก็ยังคงยืนมองดูกระจกบานเลื่อนที่ค่อยๆ เปิดออกอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมละมุนของครีมอาบน้ำกลิ่นวานิลลาผสมกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ ลอยมาก่อนที่ร่างบอบบางของเธอจะปรากฏขึ้นในชุดนอนผ้าซาตินสีงาช้างที่แนบเนื้ออย่างยวนเย้าใจ ชายเสื้อที่ปกคลุมไว้ที่เพียงครึ่งต้นขา เนินอกขาวละมุนใต้เส้นสายบางเฉียบที่รัดรั้งไว้บนไหล่กลมกลึงของเธอ เผยให้เห็นถึงผิวที่นวลเนียนดูเนียนนุ่มใต้ประกายของสายฟ้าที่สว่างไสวในแวบเดียว
“หนูขอโทษนะคะ ลุงแดน...” เสียงหวานดังบางเบาใต้การควบคุมของผู้เป็นเจ้าของที่พยายามรั้งไว้ไม่ให้มันสั่นเครือ “แต่…หนูกลัวฟ้าร้อง...ห้องของหนูมันมืดทึบไปหน่อย แถมเสียงฝนก็กระทบกระจกหน้าต่างแรงมากและดังตลอด หนูไม่สามารถนอนหลับลงได้โดยไม่กลัว”
แดเนียลหันมาช้าๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีน้ำตาลแกมอำพันเจือแววกังวลแต่ก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่ มือเล็กๆ กำชายเสื้อของตัวเองไว้แน่น ร่างบางสั่นสะท้านเล็กน้อยราวกับต้องการให้เขาเชื่อว่านั่นเป็นเพราะความหนาวเย็นของฝนฟ้าอากาศและความหวาดกลัวซึ่งเป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบและแนบเนียน
“เธียร์...” เขาเรียกชื่อเธอเบาๆ ในลำคอ เสียงทุ้มต่ำสะท้อนอยู่ในอากาศแคบๆ ของห้อง “กลับไปนอนที่ห้องของเธอได้แล้ว นี่มันดึกมากแล้ว”
“ใช่ค่ะ ดึกแล้ว แต่...ขอหนูนอนที่นี่ด้วยได้ไหม แค่คืนนี้คืนเดียว” เธอก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด ดวงตาเปิดกว้าง วาวระยับด้วยแสงสะท้อนของสายฟ้าที่จุดประกายลงมาอีกหน “ถ้าหนูทำให้คุณลุงไม่สบายใจ...หนูจะนอนบนโซฟาก็ได้”
เขาหันไปมองโซฟา มันเล็กเกินกว่าจะนอนได้สบาย แม้ว่าเธอจะตัวเล็กเมื่อเทียบกับเขา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเธอบอบบางเกินกว่าจะปล่อยให้นอนตากแอร์ทั้งคืน ความรู้สึกผิดแผ่กระจายในอกอย่างช้าๆ
“ก็ได้...” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น เพราะต้องยินยอมในที่สุด “แต่เธอต้องนอนดีๆ ไม่ซนนะ…เข้าใจไหม”
“ค่ะ” เธอยิ้ม...ยิ้มแบบที่เขารู้ทันทีว่าไม่ได้มีคำว่า ‘ไม่ซน’ ในแผนการของเธอเลยแม้แต่น้อย
เทียนบูชาปีนขึ้นเตียงใหญ่ของเขาอย่างว่าง่าย ความเงียบภายในห้องมีมากแค่ไหนยิ่งทำให้เสียงของผ้าซาตินที่เสียดสีกับผิวเนื้อของเธอชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ทำให้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวในทุกขณะของเธอ และเมื่อนอนตะแคงลง เธอก็หันหน้ามาหาเขา ดวงตาสีน้ำตาลแกมทองกลมโตมองมาที่เขาราวจะพยายามค้นหาความรู้สึกของผู้ชายตัวใหญ่ที่เดินไปปิดไฟแล้วกลับมานอน ณ อีกฟากฝั่งของเตียงของเขา ราวกับจะให้ความว่างเปล่าเป็นกำแพงแกร่งที่ป้องกัน…ซึ่งไม่ใช่
ผ้าห่มแคชเมียร์เนื้อนุ่มปกคลุมทั้งคู่ไว้ ใต้เงาของความมืดสลัวและเสียงฟ้าร้องข้างนอกนั่น หากพื้นที่ใต้ผ้าห่มนั้นกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่ใครก็มองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า
ด้วยความแน่วแน่ เมื่อฝ่ามือเล็กๆ ค่อยๆ เคลื่อนไปสัมผัสหลังมือของเขาอีกครั้ง...นิ้วเรียวที่เจือความเย็นจางๆ จากเครื่องปรับอากาศ นุ่มราวไหม ลูบไล้ไปตามแนวข้อมือของเขาช้าๆ เหมือนจะบอกว่า ‘หนูอยู่ตรงนี้’
“เธียร์...” เขาเรียกเธออีกครั้ง คราวนี้เสียงเข้มกว่าเดิม
เธอไม่ตอบ แต่ขยับเข้าไปชิดใกล้ร่างแกร่งสีแทนของเขาอย่างจงใจ เนินอกอ่อนนุ่มที่แนบผ่านผ้าซาตินสัมผัสกับต้นแขนที่แข็งแรงของเขาอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นแทรกซึมผ่านเนื้อผ้า…ให้ความรู้สึกที่โหยหา
“หนูกลัว...” เธอเอ่ยเสียงสั่นพร่า พลางเลื่อนแขนไปกอดที่ต้นแขนของเขา แนบแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
ยิ่งห้ามคล้ายราวกับยิ่งยุ…ใบหน้าเนียนสวยแกมเจ้าเล่ห์ก็แนบลงไปแตะกับหัวไหล่ที่อุ่นจัดจากเลือดอุ่นๆ ที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างใน
“เธอกำลังเล่นกับไฟ” เขาพูดเสียงขุ่นด้วยริมฝีปากหยักลึกและดวงตาที่ปิดแน่นลงราวกับกำลังยับยั้งความรู้สึกบางสิ่งบางอย่าง อย่างสุดกำลัง
“แล้วลุงแดนไม่คิดจะมอดไหม้ลงไปในไฟกองนี้ด้วยกันหรือคะ...” คำพูดนั้นทำให้เขาลืมตาทันที
เขาหันมา มองเธอในระยะประชิด ดวงตาทั้งสองสบกันภายใต้ประกายของสายฟ้าที่แวบวาบผ่านบานหน้าต่างบานใหญ่ ใบหน้าของเธอสวยจนเหมือนภาพวาด แก้มแดงเรื่อ ริมฝีปากอิ่มฉ่ำราวผลเชอร์รี่ที่สุกหอมอย่างภาพที่เขาจำได้จนขึ้นใจ และดวงตาแวววาวที่แน่วแน่ ตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยไฟแห่งความปรารถนาและความสงสัยโดยไม่ปิดบัง
เขาเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มของเธอเบาๆ อย่างยับยั้งห้ามใจไม่ได้ และเมื่อนิ้วโป้งบนมือใหญ่ของเขาสัมผัสมัน เขาก็ลูบไล้ผิวเนียนนุ่มนั้นเหมือนจะสำรวจว่าเธอคือความฝันหรือความจริง แต่กลิ่นกุหลาบที่จางเจืออยู่บนผิวกายอ่อนบางก็ทำเอาเขาแทบคลั่ง: มันดึงดูดเขาเหมือนแรงของแม่เหล็กที่มีพลังมหาศาล
เธอขยับใกล้เขาเข้ามาอีกนิด กระทั่งระยะห่างระหว่างใบหน้าของเธอกับเขาเหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งนิ้ว ลมหายใจอุ่นๆ ของเธอสัมผัสลงบนปลายคางเขียวครึ้มสมชายชาตรีของเขาอย่างจงใจ ความเงียบงันในห้องตอนนี้ถูกทำลายลงด้วยเสียงหัวใจของเขาและของเธอ
“อย่าข้ามเส้นของฉัน...เธียร์” เขากระซิบเสียงพร่า
“ถ้างั้น…ลุงแดนจะเป็นคนข้ามมันมาก็ได้นี่คะ” เธอกระซิบตอบเขาอย่างท้าทาย ด้วยเสียงแผ่วเบา แต่อาบด้วยเปลวไฟที่เธอเริ่มก่อไว้อย่างมุ่งมั่น
แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าของเขาเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ ดวงตาไม่ละจากเธอแม้แต่วินาทีเดียว และเมื่อริมฝีปากของเขาสัมผัสกับริมฝีปากของเธอในที่สุด มันก็เหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุนลงแล้ว