* ✨👇✨ กดรับ Link นิยายรสแซ่บได้ที่ปกทุกปกที่นี่เลยจ้าา ✨👇✨ *

niyayZAP Related E-Books Related E-Books Related E-Books Related E-Books Series E-Books niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน niyayZAP Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP Related E-Books niyayZAP niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books  Series E-Books

Monday, January 20, 2025

แซ่บรสรัก: คนสวนพันธุ์ดุ! [01] ใยรัก..ใยเสน่หา

แซ่บรสรัก: คนสวนพันธุ์ดุ! | หมื่นล้านคำรัก และ AI

🍹
แซ่บรสรัก: คนสวนพันธุ์ดุ!

โดย
หมื่นล้านคำรัก และ AI

©️ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ใยรัก..ใยเสน่หา

บทที่ 1

ณ เช้าตรู่ที่ไร้ซึ่งเสียงรบกวน นอกตัวคฤหาสน์ขนาดใหญ่ในชนบทของจังหวัดเชียงราย สวนดอกไม้และผลไม้อันแผ่กว้างกำลังปลุกชีวิตให้ตื่นขึ้นด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดผสมกับอากาศยามเช้าอันสดชื่น เสียงน้ำไหลจากบ่อน้ำพุในสวนกลางแห่งหนึ่งสร้างความสงบที่แทบจะหยุดเวลาไว้

ภูริทัศน์ วิเชียรสกุล ชายหนุ่มวัย 40 ปี รูปร่างกำยำสมชายชาตรีในชุดเสื้อยืดพอดีตัวและกางเกงยีนส์เก่าๆ ที่เปื้อนเศษดิน กำลังยืนอยู่ใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่ มือใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยรอยหยาบกร้าน แต่เปี่ยมไปด้วยความละเอียดอ่อนในการดูแลทุกสิ่งรอบตัว ใบหน้าเข้มที่มีเคราจางๆ ดูดุดันและแฝงความอบอุ่นในสายตาที่เฝ้ามองสวนด้วยความภาคภูมิใจ

ดวงตาสีนิลคมกริบของเขาจับจ้องไปยังดอกกล้วยไม้ป่าที่เขาปลูกไว้ในกระถางดินเผาด้วยตัวเอง หยดน้ำค้างเกาะที่กลีบดอกเหมือนอัญมณีล้ำค่า เขาใช้มือใหญ่แต่ทะนุถนอมเช็ดละอองน้ำบนกลีบดอกเบาๆ พลางพึมพำกับตัวเองเบาๆ “วันนี้สวยกว่าทุกวันนะ…เหมือนจะรู้ว่ามีคนชื่นชม” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังก้องเบาๆ ไปในสวน

ภูริทัศน์ไม่ใช่ผู้ชายที่พูดมาก เขาแสดงตัวตนผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด ราศีเมษในตัวเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนในความกล้าหาญและความเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความดื้อรั้น บางครั้งเขาก็เหมือนภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น แต่ความอ่อนโยนของเขาเปรียบได้กับสายลมที่โอบล้อมต้นไม้ในสวนแห่งนี้ เขาคือคนที่สร้างชีวิตในทุกตารางนิ้วของสวนด้วยความรัก

เสียงรองเท้าบูทของเขาดังกึกก้องเบาๆ บนทางเดินโรยกรวดขณะเขาเดินไปยังแปลงดอกกุหลาบสายพันธุ์พิเศษที่ปลูกไว้ในเรือนกระจก เขาเปิดประตูเรือนกระจกพร้อมกับกลิ่นหอมอันอบอวลของกุหลาบที่หลุดลอยออกมา เขาก้าวเข้าไปพร้อมกับตรวจสอบอย่างละเอียดทุกต้นเหมือนตรวจสุขภาพคนที่เขาห่วงใย “ไม่มีใครทำให้เธอตายได้…ตราบที่ฉันยังอยู่ตรงนี้” เขาพูดกับต้นกุหลาบสีแดงสดต้นหนึ่งที่เขาตั้งชื่อว่า ‘คุณหญิง’

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นขัดจังหวะความสงบ เขาหยิบมันขึ้นมากดรับสายด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย 

“ครับ คุณริชาร์ด…ไม่มีอะไรต้องกังวล สวนทั้งหมดอยู่ในความดูแลของผมเหมือนเดิม” เสียงของเขาแฝงด้วยความมั่นใจที่ยากจะให้ใครต้องโต้แย้ง

หลังวางสาย เขาหยิบกระบอกฉีดน้ำขึ้นมาฉีดต้นกุหลาบต่ออย่างใจเย็น แต่สายตาของเขากลับมองเลยไปยังตัวคฤหาสน์ใหญ่โตที่อยู่ไกลออกไป ราวกับมีบางสิ่งในนั้นกำลังดึงดูดความคิดของเขาให้ลอยไปอย่างไม่มีวันกลับมา เขายืนอยู่อย่างนั้น ชั่วขณะหนึ่งรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา—รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความลึกลับและคำถาม

----

ท่ามกลางแสงแดดอ่อนยามสาย รถยนต์สุดหรูสีแดงเงาวับแล่นเข้ามาในบ้านสวนหลังงามของมหาเศรษฐีที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่เงียบสงบของจังหวัดเชียงราย เสียงเครื่องยนต์เบาหวิวตัดกับความเงียบสงบของธรรมชาติ ภูริทัศน์ที่กำลังตัดแต่งต้นดอกแก้วหันไปตามเสียงทันที ดวงตาคมของเขาเพ่งมองรถคันนั้นที่วิ่งมาจอดอย่างสง่างามใกล้กับตัวบ้าน

ประตูรถถูกผลักเปิดออก พร้อมกับเรียวขาขาวผ่องที่ก้าวลงมาอย่างมั่นใจ เจ้าของขาคู่นั้นสวมรองเท้าส้นสูงสีเบจที่ขับกับผิวเนียนละเอียดของเธอ ร่างอรชรในชุดเดรสสีครีมรัดรูปที่เปิดไหล่โชว์ผิวขาวอมชมพูและกระดูกไหปลาร้าคู่งาม สะท้อนความเย้ายวนอันไร้ที่ติ หญิงสาวผู้ปรากฏตัวด้วยออร่าที่สะกดทุกสายตาให้จับจ้อง

อลิซาเบธ คีธลิน เบนเน็ตต์ ลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพล บิดาของเธอเป็นนักธุรกิจลูกครึ่งไทย-อเมริกันที่ขึ้นชื่อเรื่องความสำเร็จระดับโลก แต่ในวันนี้เธอไม่ใช่คุณหนูที่เดินอยู่บนพรมแดงในงานเลี้ยงสุดหรูอีกต่อไป หากแต่เป็นสาวสวยวัย 20 ปีที่ถูกส่งมายังบ้านสวนเพื่อพักฟื้นร่างกาย หลังจากต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่ทำให้หมอแนะนำว่าเธอควรใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

"โอ้...ที่นี่เหรอ ที่พ่อคิดว่าเหมาะกับฉัน" เสียงหวานแต่แฝงความเอาแต่ใจหลุดออกมาจากริมฝีปากแดงฉ่ำของเธอ ขณะเธอกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณบ้านด้วยสายตาแบบเด็กสาวที่เคยชินกับความหรูหราของเมืองใหญ่

ภูริทัศน์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของสวน เขามองภาพหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสัยระคนระแวดระวัง อลิซาเบธไม่ใช่คนที่เขาเคยพบมาก่อน เธอเหมือนนางฟ้าที่หลุดมาจากเทพนิยาย ไม่ใช่เพียงเพราะความงามของเธอ แต่เพราะความเย้ายวนในทุกท่าทางที่เธอขยับตัว เดรสของเธอพริ้วไหวเล็กน้อยตามแรงลม เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าที่ดูราวกับรูปปั้นที่ปั้นด้วยมือศิลปินระดับโลก

เธอหันมาเจอเขาโดยบังเอิญ และทันทีที่สายตาของเธอประสานกับดวงตาคมของเขา เธอก็เอียงคอเล็กน้อย พลางส่งยิ้มยั่วให้เขา รอยยิ้มนั้นมีทั้งความอ่อนหวานและเจ้าเล่ห์ในเวลาเดียวกัน "คุณคงเป็นคนที่ดูแลที่นี่สินะ? พ่อบอกว่าคุณชื่อ…อะไรนะ?"

"ภูริทัศน์ครับ" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ทว่าทุ้มต่ำของเขากลับทำให้เธอรู้สึกถึงแรงดึงดูดอย่างประหลาด เธอก้าวเข้ามาใกล้เขา ขณะที่สายตาของเธอยังคงจับจ้องดวงตาสีดำสนิทของเขาอย่างไม่ลดละ

"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณภูริทัศน์ ฉันอลิซาเบธ... แต่คุณเรียกฉันว่า 'อลิซ' ก็พอ" เธอยิ้มอีกครั้ง มือเรียวเล็กยื่นไปข้างหน้าเหมือนจะให้เขาจับ ทว่าเขากลับแค่ก้มศีรษะเล็กน้อยและพูดเพียงว่า "ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณอลิซ"

เธอย่นจมูกเล็กน้อยอย่างน่ารัก ก่อนจะหันไปมองรอบๆ บริเวณ "บอกตามตรง ฉันไม่คิดว่าสวนแบบนี้จะอยู่ในความชอบของฉันได้หรอกนะ… แต่พอมาเห็นจริงๆ ก็สวยไม่เลวเลย" เธอพูดขณะเดินเล่นไปตามทางเดินโรยกรวด ส้นสูงของเธอส่งเสียงเบาๆ ตามจังหวะการก้าวเดิน

ภูริทัศน์เดินตามเธอไปห่างๆ ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เธออย่างเงียบๆ อลิซาเบธเหมือนดอกไม้แปลกตาที่เขาไม่เคยพบ เธอสวย ดึงดูดใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความซับซ้อนที่เขายังอ่านไม่ออก

"แล้วคุณทำอะไรที่นี่บ้างล่ะ? แค่รดน้ำต้นไม้เหรอ?" เธอถามขึ้นขณะหยุดยืนอยู่กลางสวนกุหลาบ เธอหันมามองเขาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

"ผมทำทุกอย่างครับ ดูแลทุกต้น ทุกดอกที่นี่ให้ออกดอกสวยที่สุด" เขาตอบเสียงเรียบ

"งั้นเหรอ..." เธอพูดพร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสดอกกุหลาบสีแดงสดที่อยู่ใกล้ตัว รอยยิ้มของเธอดูเหมือนกำลังท้าทายอะไรบางอย่างในตัวเขา "งั้นก็ดูแลฉันเหมือนดอกไม้ในสวนของคุณด้วยสิ ฉันว่าฉันน่าจะต้องการการดูแลที่พิเศษหน่อย คุณคิดว่าไง?"

คำพูดนั้นทำให้ภูริทัศน์ชะงักไปเล็กน้อย เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดในตัวเธอที่ยากจะอธิบายได้ แต่นิสัยทำให้เขายังคงนิ่ง สุขุม และเก็บอาการไว้ได้อย่างแนบเนียน

"ผมจะดูแลทุกอย่างในนี้ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด รวมถึงคุณด้วยครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่เหมือนคำสัญญาที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

บทที่ 2

อลิซาเบธยืนมองแผ่นหลังของภูริทัศน์ที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ผู้ชายคนนี้…น่าสนใจจริงๆ” ดวงตาสีอำพันของเธอจับจ้องไปยังท่าทางสุขุมมั่นคงของเขา และความเงียบขรึมของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรมากกว่าที่เขาแสดงออก

เธอสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะตัดสินใจก้าวตามเขาไป “คุณภูริทัศน์ เดี๋ยวก่อนสิ” เสียงของเธอทำให้เขาหยุดเดินและหันกลับมาเล็กน้อย ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความประหลาดใจหรือรำคาญ แต่กลับเต็มไปด้วยความนิ่งเฉย

“อะไรครับ?” เขาถามสั้นๆ

“ฉันยังไม่ได้ดูสวนทั้งหมดของคุณเลย พอจะมีเวลาพาฉันชมรอบๆ สวนอีกหน่อยไหม?” เธอถามด้วยรอยยิ้มที่แฝงความเจ้าเล่ห์

ภูริทัศน์มองเธอด้วยแววตาที่อ่านยาก “คุณอยากดูสวน หรืออยากรู้อะไรจากผมกันแน่?” น้ำเสียงของเขาตรงไปตรงมา ทำให้ออลิซาเบธหัวเราะเบาๆ

“บางทีอาจจะทั้งสองอย่าง” เธอตอบตรงๆ ไม่คิดปิดบัง “คุณเป็นคนที่น่าสนใจ…ฉันก็เลยอยากรู้จักคุณมากขึ้น”

คำพูดของเธอทำให้ภูริทัศน์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ก็ได้ แต่ผมมีเวลาไม่มาก เพราะยังมีงานที่ต้องทำ”

เขาเริ่มเดินนำไปตามเส้นทางที่ปกคลุมด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ อลิซาเบธเดินตามเขาไป พลางมองรอบๆ อย่างสนอกสนใจ

“ที่นี่เงียบสงบดีนะ” เธอพูดขณะมองแปลงดอกไม้ที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง “มันทำให้ฉันสงสัยว่าคุณเคยรู้สึกเบื่อบ้างไหม อยู่ที่เดิมๆ แบบนี้ทุกวัน”

“คนที่รักในสิ่งที่ทำ ไม่มีวันเบื่อหรอก” เขาตอบสั้นๆ พร้อมกับหยุดเดินเมื่อมาถึงแปลงดอกกุหลาบสีแดงสดที่บานสะพรั่ง

“กุหลาบพวกนี้ดูแลยากไหม?” เธอถาม ขณะโน้มตัวลงไปใกล้เพื่อดมกลิ่นหอมของมัน

“ยากสิ แต่ความยากทำให้มันมีค่า” เขาตอบพร้อมกับโน้มตัวลงไปตรวจดูกลีบดอกไม้ด้วยมือหยาบกร้านของเขา

อลิซาเบธมองเขาอย่างสนใจ เธอไม่เคยเห็นผู้ชายที่ทุ่มเทและสงบนิ่งแบบนี้มาก่อน เขาเหมือนมีเสน่ห์ที่ดึงดูดโดยไม่ต้องพยายาม และนั่นทำให้เธอยิ่งอยากรู้จักเขามากขึ้น

“คุณดูเหมือนจะรักดอกไม้พวกนี้มาก” เธอพูด “แล้วคุณเคยให้ใครสักคนบ้างไหม? ดอกกุหลาบสวยๆ แบบนี้”

ภูริทัศน์เงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ผมไม่เคยให้ใคร เพราะกุหลาบพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดจะมอบให้ใครง่ายๆ”

คำตอบของเขาทำให้อลิซาเบธยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ถ้างั้นฉันคงต้องพยายามหน่อยแล้วล่ะ เพื่อให้ได้มันมา”

ภูริทัศน์หัวเราะเบาๆ เป็นครั้งแรก รอยยิ้มของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด “ถ้าคุณคิดว่าคุ้มค่าพอ ก็ลองดูครับ”

พวกเขายังคงเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงนกร้องและสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่าน แต่ทุกคำพูดของพวกเขาเหมือนการท้าทายกันในเชิงลึกที่ไม่มีใครยอมอ่อนข้อ

เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์เริ่มตกดิน อลิซาเบธก็หยุดเดินและหันกลับมามองเขา “คุณภูริทัศน์ ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ สวนของคุณสวยงามมาก”

เขาพยักหน้า “ถ้าคุณอยากมาอีก ก็มาได้ทุกเมื่อครับ”

“งั้นฉันจะถือว่าคุณอนุญาตแล้วนะ” เธอพูดพร้อมยิ้มหวาน “เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”

เธอเดินจากไป ทิ้งให้ภูริทัศน์ยืนมองแผ่นหลังของเธอที่ค่อยๆ ห่างออกไป ดวงตาของเขาสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร

แต่เขารู้เพียงอย่างเดียวว่า ผู้หญิงคนนี้จะไม่ใช่แค่ดอกไม้ที่ผ่านเข้ามาและจากไปเหมือนคนอื่นๆ เธออาจเป็นเหมือนพายุที่กำลังจะพลิกทุกอย่างในชีวิตของเขาอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน...

บทที่ 4

วันรุ่งขึ้น อลิซาเบธกลับมายังสวนอีกครั้งในเวลาเช้าตรู่ ท้องฟ้ายังเปล่งประกายด้วยแสงอ่อนๆ ของพระอาทิตย์ เธอเลือกชุดเดรสสีครีมเรียบง่ายแต่เข้ากับบรรยากาศของสวน มือของเธอถือถ้วยกาแฟร้อนที่กลิ่นหอมลอยฟุ้ง

เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงทางเดินโรยกรวด ภูริทัศน์ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ใส่เสื้อเชิ้ตลำลองสีขาวพับแขนถึงศอก กำลังตรวจสอบต้นไม้ในเรือนเพาะชำ เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า

“เช้าไปหรือเปล่าครับคุณอลิซาเบธ?” เขาทักเบาๆ แต่ไม่แปลกใจนักที่เธอมาตั้งแต่เช้า

“ฉันชอบเวลาเช้าแบบนี้ค่ะ อากาศดีและเหมาะจะเริ่มต้นวันใหม่ คุณล่ะคะ ชอบเวลาเช้าหรือเปล่า?” เธอถามพร้อมเดินเข้ามาใกล้

“เป็นช่วงเวลาที่สงบที่สุดของวัน” เขาตอบ พลางยกมือลูบใบต้นไม้เบาๆ ก่อนหันมามองเธอ “ดูเหมือนคุณจะชอบที่นี่มากจนต้องมาอีก”

“มากจนอยากรู้จักมันให้ลึกซึ้งกว่านี้ค่ะ รวมถึง…คนที่ดูแลที่นี่ด้วย” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มที่ซ่อนความนัย

ภูริทัศน์เพียงแค่แย้มรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนเดินนำเธอไปยังแปลงดอกไม้ด้านใน เรือนเพาะชำเงียบสงบ มีเพียงเสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ กับแสงแดดที่ส่องผ่านกระจกใส

“ที่นี่คุณดูแลเองทั้งหมดเลยเหรอคะ?” อลิซาเบธถามในขณะที่เดินตามเขาไป

“ส่วนใหญ่ครับ ผมมีคนงานช่วยบ้างในบางส่วน แต่เรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ผมทำเองทั้งหมด”

“ละเอียดอ่อน…คุณคงมีความอดทนสูงมาก” เธอพูดพร้อมเดินไปแตะใบไม้ต้นหนึ่ง “ดูเหมือนการดูแลดอกไม้พวกนี้จะเหมือนกับการดูแลคนบางคนเลยนะคะ ต้องใช้ทั้งความเอาใจใส่และเวลา”

คำพูดของเธอทำให้ภูริทัศน์หยุดเดินและหันมามองตรงๆ ดวงตาของเขามีแววขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ใช่ครับ ถ้าอยากให้มันเติบโตอย่างสวยงาม”

อลิซาเบธยิ้มเล็กน้อย “งั้นฉันคงต้องขอเคล็ดลับจากคุณบ้างแล้วล่ะ”

เขามองเธออย่างตั้งคำถาม “คุณกำลังหมายถึงดอกไม้…หรือคน?”

“อาจจะทั้งสองอย่างค่ะ” เธอพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ “ฉันเคยคิดว่าคุณเป็นคนที่เย็นชา แต่ตอนนี้ฉันเริ่มเห็นอะไรที่ต่างออกไปแล้ว”

ภูริทัศน์ไม่ได้ตอบอะไร เขาเดินต่อไปยังมุมหนึ่งของเรือนเพาะชำที่มีแปลงดอกกุหลาบสีขาวเรียงราย “ดอกกุหลาบสีขาวพวกนี้ ผมปลูกขึ้นมาเพื่อระลึกถึงแม่ของผม”

อลิซาเบธมองดอกไม้พวกนั้นอย่างสนใจ “คุณรักแม่มากสินะคะ”

“แม่เป็นคนที่สอนผมทุกอย่าง ทั้งเรื่องดอกไม้และการใช้ชีวิต” เสียงของเขานุ่มลงขณะพูด

“แล้วคุณ…เคยมีใครสักคนที่สำคัญเท่ากับแม่ของคุณไหม?” เธอถามตรงๆ

ภูริทัศน์หันมามองเธออีกครั้ง ดวงตาของเขามีความลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “ยังไม่มี”

อลิซาเบธแย้มรอยยิ้มที่มุมปาก “บางทีคุณอาจแค่ยังไม่เปิดใจพอ”

เขาหลุดหัวเราะเบาๆ “คุณนี่พูดเก่งจริงๆ แต่คนอย่างผมไม่ใช่คนที่ใครจะเข้าถึงได้ง่ายหรอก”

“ฉันไม่กลัวความยากค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เพราะสิ่งที่ยากที่สุดมักจะมีค่าที่สุด…คุณเองก็พูดไว้แบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”

ภูริทัศน์นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาสบเข้ากับดวงตาของเธอที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและท้าทาย

“งั้นก็ลองดูครับคุณอลิซาเบธ” เขาพูดเบาๆ พร้อมกับก้าวเข้าใกล้เธออีกนิด รอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของเขาบ่งบอกว่าเกมนี้กำลังจะเริ่มต้นแล้ว และเขาก็พร้อมจะเล่นมันอย่างเต็มที่

----

บรรยากาศในเรือนเพาะชำกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดและการชิงไหวชิงพริบ ไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะในเกมนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ทั้งสองคนกำลังถูกดึงดูดเข้าหากันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...

บทที่ 5

อลิซาเบธและภูริทัศน์กลับมาสู่ความสงบในเรือนเพาะชำอีกครั้งหลังจากการสนทนาที่เต็มไปด้วยความท้าทาย เขายังคงยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ ห่างพอที่จะรักษาระยะปลอดภัยแต่ใกล้พอที่เธอจะสัมผัสถึงกลิ่นอ่อนๆ ของดินและไม้ที่ติดอยู่บนตัวเขา

อลิซาเบธยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายแต่ยังคงแฝงไว้ด้วยเจตนาแอบแฝง

"แล้วคุณจะพาฉันเดินชมที่นี่ต่อ หรือว่าเราจะอยู่คุยกันตรงนี้จนหมดวันดีคะ?"

ภูริทัศน์เลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาของเขามีแววขบขัน "คุณดูไม่เหมือนคนที่ชอบเสียเวลานั่งคุยเฉยๆ"

"ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุยกับใครค่ะ" เธอตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ไม่อาจเดาความคิดได้

เขาหลุดแย้มรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพยักหน้า "ถ้าอย่างนั้น ตามผมมา"

เขานำเธอออกจากเรือนเพาะชำ เดินลัดเลาะไปยังแปลงดอกไม้อีกส่วนหนึ่งของสวน เสียงฝีเท้าของทั้งคู่บนพื้นกรวดเป็นจังหวะเบาๆ อลิซาเบธมองรอบตัวด้วยความสนใจ แต่เธอไม่ได้พูดอะไร เธอเลือกที่จะใช้ช่วงเวลานี้ในการสังเกตภูริทัศน์

"คุณดูเงียบไป" เขาเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้พูดเหมือนปกติ

"บางครั้งการฟังและสังเกตก็สำคัญกว่าการพูดค่ะ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย

เขาหันมามองเธอครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา "คุณพูดเหมือนนักวางกลยุทธ์เลยนะ"

อลิซาเบธหัวเราะเบาๆ "อาจจะเป็นอย่างนั้นค่ะ หรือบางที…ฉันแค่อยากเข้าใจคุณให้มากขึ้น"

"เข้าใจผม?" เขาหยุดเดินและหันมาสบตาเธอ "ทำไมคุณถึงอยากเข้าใจผมนักล่ะ?"

"เพราะคุณน่าสนใจค่ะ" เธอตอบตรงๆ ไม่มีการปิดบัง

คำตอบของเธอทำให้เขานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะหลุดยิ้มเล็กๆ "คุณนี่แปลกกว่าที่ผมคิดไว้มาก"

"แล้วคุณคิดว่าฉันเป็นคนยังไงเหรอคะ?"

เขาไม่ตอบในทันที ดวงตาของเขามองลึกลงไปในดวงตาของเธอราวกับกำลังค้นหาคำตอบจากภายในตัวเธอเอง "เป็นคนที่มีทั้งเสน่ห์และอันตรายในเวลาเดียวกัน"

"อันตราย?" เธอหัวเราะเบาๆ "แล้วคุณกลัวฉันหรือเปล่าคะ?"

เขาแย้มรอยยิ้มที่มุมปาก "ไม่ครับ แต่ผมระวังตัว"

อลิซาเบธสบตาเขาโดยไม่หลบ "ระวังตัวจากฉัน…หรือจากตัวคุณเองกันแน่คะ?"

คำถามนั้นทำให้ภูริทัศน์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่อง "ไปดูแปลงองุ่นกันดีกว่า ใกล้จะได้เก็บเกี่ยวแล้ว"

เขาเดินนำเธอไปยังแปลงองุ่นที่อยู่ถัดไปจากสวนดอกไม้ อลิซาเบธมองตามเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจและความรู้สึกที่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ

เมื่อมาถึงแปลงองุ่น เขาหยุดเดินและชี้ไปที่ผลองุ่นที่กำลังสุกงอม "องุ่นพวกนี้เป็นพันธุ์ที่ผมคัดเลือกเอง ใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้ผลผลิตแบบนี้"

"คุณใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ นะคะ" เธอเอ่ยชม พลางเดินเข้าไปใกล้แปลงองุ่น "คุณทำให้ฉันรู้สึกว่า ทุกอย่างที่นี่มีความหมายสำหรับคุณมากกว่าที่คนอื่นจะเข้าใจ"

เขาหันมามองเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้สายตาของเขาอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย "ใช่ครับ ที่นี่คือทุกอย่างของผม"

อลิซาเบธนิ่งฟัง เธอรับรู้ถึงความจริงใจในคำพูดของเขา และมันทำให้เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรมากกว่าที่เธอคาดคิด

"แล้วถ้ามีใครบางคนเข้ามาแบ่งปันทุกอย่างของคุณล่ะคะ คุณจะยอมให้เขาเข้ามาไหม?"

คำถามนั้นทำให้ภูริทัศน์นิ่งไปอีกครั้ง เขาหันกลับไปมองแปลงองุ่น ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "มันขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นใคร และเขาต้องการอะไรจากผม"

อลิซาเบธยิ้มเล็กน้อย "บางทีเขาอาจแค่ต้องการ…คุณ"

ภูริทัศน์หันกลับมามองเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและความหวั่นไหวที่เขาพยายามซ่อน "คุณชอบเล่นเกมจริงๆ นะครับคุณอลิซาเบธ"

"เกมที่ฉันเล่นไม่ใช่เกมที่ทำร้ายใครค่ะ" เธอตอบ "แต่ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นเกม…ฉันก็หวังว่าคุณจะเล่นอย่างยุติธรรม"

เขาไม่ตอบ แต่สายตาของเขาสื่อความหมายบางอย่างที่อลิซาเบธรับรู้ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเริ่มซับซ้อนขึ้น และในขณะเดียวกันก็เริ่มมีความหมายมากขึ้นด้วย

ทั้งสองคนเดินกลับมายังจุดเริ่มต้นของสวน ทิ้งไว้เพียงเสียงลมที่พัดผ่านและแรงดึงดูดที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในอากาศ…

บทที่ 6

หลังจากที่ทั้งสองกลับมาถึงจุดเริ่มต้นของสวน ภูริทัศน์หันไปมองอลิซาเบธอีกครั้ง แต่คราวนี้มีท่าทีที่ผ่อนคลายลง เขาหยุดเดินและยืนเงียบๆ ให้เธอได้มองสวนรอบๆ ทั้งหมด

“ที่นี่สวยใช่ไหมครับ?” เขาถามขึ้นเบาๆ

อลิซาเบธพยักหน้าอย่างชื่นชม “สวยมากค่ะ คุณภูริทัศน์... สวนนี้ดูเหมือนมีชีวิตอยู่เอง”

“มันมีชีวิตแบบที่ผมต้องการให้มันเป็น” เขาตอบพร้อมยิ้มเล็กน้อย

“คุณให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเหมือนกับที่คุณให้ความสำคัญกับธุรกิจของคุณไหมคะ?” เธอถามออกไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ตรง

ภูริทัศน์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “ทุกสิ่งในชีวิตมีความสำคัญสำหรับผม... แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างที่ผมสามารถควบคุมได้”

คำตอบของเขาทำให้อลิซาเบธคิดเงียบๆ สักพัก เธอรู้ดีว่าภูริทัศน์ไม่ได้พูดถึงแค่สวนหรือธุรกิจของเขา แต่เขากำลังพูดถึงเรื่องของชีวิตส่วนตัว... เรื่องที่เขาเก็บซ่อนอยู่ในตัวเอง

“แล้วคุณ... รู้สึกว่าคุณสามารถควบคุมทุกอย่างได้ไหม?” เธอถามอีกครั้ง

ภูริทัศน์หันมามองเธออย่างช้าๆ ราวกับกำลังพิจารณาคำถามนี้อย่างจริงจัง “ผมอยากให้ชีวิตของผมเดินไปในทิศทางที่ผมต้องการ... แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง” เขาหยุดพูดและหันไปมองท้องฟ้า “บางครั้งเราอาจจะต้องยอมให้บางสิ่งหลุดมือไปบ้าง”

อลิซาเบธรับรู้ถึงความเปราะบางในคำพูดของเขา แม้จะยังคงความแข็งแกร่งภายนอกอยู่ เธอไม่เคยเห็นเขาเปิดเผยความรู้สึกขนาดนี้มาก่อน

“คุณมีบางสิ่งที่คุณอยากจะรักษาไว้ใช่ไหมคะ?” เธอถามเบาๆ

ภูริทัศน์มองไปที่เธอด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง “บางสิ่งที่ผมไม่สามารถพูดออกมาได้... แต่ผมกำลังพยายามทำให้มันอยู่ในที่ที่มันควรจะเป็น” เขาตอบ พร้อมท่าทางที่เหมือนจะปิดบังบางอย่าง

“ถ้าคุณจะให้ฉันช่วยอะไร... บอกฉันเถอะค่ะ” อลิซาเบธพูดอย่างจริงจัง

ภูริทัศน์หันมามองเธออีกครั้ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมานิดๆ “คุณคงไม่เข้าใจหรอก... แต่ขอบคุณที่เสนอ” เขาตอบสั้นๆ พร้อมหันหลังเดินไปยังมุมหนึ่งของสวน

อลิซาเบธยืนอยู่ที่เดิม สังเกตการเคลื่อนไหวของเขาอย่างสงบ พยายามอ่านความหมายของสิ่งที่เขาพูดและสิ่งที่เขาทำ แต่ไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดได้ในตอนนี้

ภูริทัศน์เดินไปหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางสวน เขาหันกลับมาเรียกเธอ “อลิซาเบธ... คุณเคยคิดไหมว่า บางทีคนเราก็อาจต้องยอมให้ความรู้สึกบางอย่างหลุดมือไปบ้างเพื่อที่จะได้เจอสิ่งที่ดีกว่า”

“ความรู้สึกที่คุณหมายถึง คืออะไรคะ?” เธอถามพร้อมมองเขาด้วยความสงสัย

ภูริทัศน์ไม่ตอบทันที แต่ดวงตาของเขาแสดงออกถึงความกล้าหาญและความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้ๆ และยืนอยู่ตรงหน้าเธอ "มันคือ... การยอมรับความจริงบางอย่างที่เรากลัวจะเผชิญหน้า" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง

อลิซาเบธสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในน้ำเสียงของเขา ราวกับว่าเขากำลังต่อสู้กับความรู้สึกบางอย่างภายในตัวเอง เธอยืนนิ่ง รอให้เขาพูดต่อ

“บางครั้ง... สิ่งที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราควรมีจริงๆ” ภูริทัศน์พูดออกมาอย่างลังเล แต่แววตาของเขาบ่งบอกถึงความจริงจัง

อลิซาเบธรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง เธอไม่เคยเห็นภูริทัศน์เป็นแบบนี้มาก่อน คนที่ดูมั่นคงและไม่ยอมให้ใครเข้าถึงได้ง่าย กลับกำลังเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเองให้เธอได้เห็น

“คุณหมายถึง... คุณคิดว่าเราสองคนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่คุณต้องปล่อยไปใช่ไหมคะ?” เธอถามด้วยเสียงที่อ่อนโยน

ภูริทัศน์สบตากับเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะหลบสายตาลง “ผมไม่แน่ใจ... แต่บางครั้งการปล่อยไปก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” เขาตอบด้วยเสียงที่ต่ำลง

อลิซาเบธรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาหยุดนิ่งในขณะนั้น ภูริทัศน์ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่เธอรู้ว่าเขากำลังแสดงให้เธอเห็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจ

"บางที... คุณอาจจะต้องให้โอกาสตัวเองบ้าง" อลิซาเบธพูดเบาๆ เธอเข้ามายืนใกล้ๆ เขาและวางมือบนแขนเขาอย่างอ่อนโยน "เราไม่ต้องรีบตัดสินใจอะไรตอนนี้ แต่ให้เวลาเราได้ทำความเข้าใจกันมากขึ้น"

ภูริทัศน์มองมือของเธอที่วางอยู่บนแขนเขา ก่อนจะยิ้มออกมานิดๆ แม้จะไม่แน่ใจทั้งหมด เขาก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายจากการมีเธออยู่ใกล้ๆ

“ขอบคุณครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง แต่เป็นคำพูดที่มีความหมายมากกว่าเพียงแค่การขอบคุณ

อลิซาเบธยิ้มให้เขา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ "เราจะทำมันให้ดีที่สุดค่ะ"

บรรยากาศระหว่างพวกเขานั้นเริ่มคลี่คลายลง ทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะที่ลมเย็นๆ พัดผ่านไป ช่วยลบล้างความตึงเครียดที่สะสมมาทั้งวัน

แต่ในใจของอลิซาเบธ กลับมีคำถามที่ยังค้างคาอยู่: ภูริทัศน์จะสามารถปล่อยความรู้สึกของเขาไปได้จริงๆ หรือไม่? และเธอจะเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งนี้ได้อย่างไร?

คำตอบเหล่านี้ยังคงรอการค้นหา...

บทที่ 7

หลังจากที่ทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน ท่ามกลางความเงียบสงบ ภูริทัศน์ถอนหายใจเบาๆ ราวกับเขากำลังปล่อยให้ความกดดันที่สะสมมาหลายวันเบาบางลง เขาหันมามองอลิซาเบธอย่างมีความหมาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด

“บางครั้งผมก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึกที่มันค้างคาอยู่... ผมเคยพยายามหลีกเลี่ยงมัน แต่ก็ยิ่งทำให้มันยากขึ้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

อลิซาเบธมองเขาอย่างเข้าใจ รู้สึกว่าเธอเริ่มเห็นภาพบางอย่างในตัวภูริทัศน์มากขึ้น เขาไม่ใช่แค่ชายหนุ่มที่ดูมั่นคงและเย็นชา แต่ยังมีความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเขา ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

“คุณไม่ต้องแบกรับทุกอย่างคนเดียวหรอกค่ะ” อลิซาเบธพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าคุณรู้สึกว่าต้องการใครสักคนที่จะอยู่ข้างๆ ก็ให้ผมเป็นคนนั้น”

ภูริทัศน์หันไปมองเธอด้วยความตกใจเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะพูดออกมาแบบนี้ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกว่ามีคนหนึ่งที่คอยยืนอยู่ข้างๆ เขา ไม่ใช่เพียงแค่ในฐานะผู้ช่วย แต่ในฐานะใครบางคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้างกันในช่วงเวลาที่เขาต้องการมากที่สุด

“แต่...” ภูริทัศน์ยังกังวลใจ “คุณอาจจะ... ไม่เข้าใจเรื่องบางอย่างในตัวผม”

“ไม่เป็นไรค่ะ” อลิซาเบธยิ้มให้เขา “ผมรู้ว่าเราอาจจะไม่ได้เข้าใจกันทั้งหมดในตอนนี้ แต่การที่เราเปิดใจคุยกันบ้าง... มันก็น่าจะช่วยทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น”

เขากลืนน้ำลายลง คิดทบทวนคำพูดของเธอที่มันคล้ายกับการปลุกเขาขึ้นจากความมืดมนที่เขาเคยคิดว่าตัวเองสามารถจัดการมันได้เพียงลำพัง “ผมไม่เคยคิดจะเปิดใจให้ใคร... แต่คุณทำให้ผมรู้สึกว่าบางทีการแบ่งปันความรู้สึกก็ไม่ได้ทำให้เราต้องอ่อนแอ”

อลิซาเบธยิ้มอีกครั้ง มือของเธอเลื่อนไปแตะที่แขนเขาเบาๆ “ไม่หรอกค่ะ... มันทำให้เรามีความเข้มแข็งต่างหาก ถ้าเราเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน”

ทั้งสองยืนนิ่งไปพักใหญ่ ระยะห่างระหว่างพวกเขาเริ่มลดลงทีละนิด จนในที่สุด ภูริทัศน์ก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“มีบางสิ่งที่ผมต้องทำ... แต่ผมไม่อยากทำมันคนเดียว”

อลิซาเบธพยักหน้าทันที เธอสามารถรู้ได้ว่าเขากำลังพูดถึงการตัดสินใจที่ยากลำบากบางอย่างที่อาจจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเขา หรือบางทีอาจจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของเขาเอง

“คุณไม่ต้องทำมันคนเดียวค่ะ ถ้าคุณอยากให้ใครสักคนช่วย... ผมก็จะอยู่ข้างๆ คุณเสมอ” เธอพูดด้วยความมั่นใจที่ไม่เคยมีมาก่อน

ภูริทัศน์ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าคำพูดของอลิซาเบธจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นหรือไม่ แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่น่าจะมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว เขาหันไปมองเธออีกครั้งด้วยแววตาที่จริงจัง

“แล้วคุณ... พร้อมที่จะรับรู้ทุกสิ่งในตัวผมไหม?” เขาถาม

อลิซาเบธหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ไม่ว่าจะเป็นอะไร... ถ้ามันคือสิ่งที่คุณเป็น... ฉันก็พร้อมที่จะเข้าใจและอยู่ข้างๆ คุณ”

ภูริทัศน์มองเธออย่างประเมินผล สงสัยว่าเธอจะสามารถรับมือกับทุกสิ่งที่เขาเป็นได้จริงๆ หรือไม่ เขาเคยเห็นคนมากมายที่คิดว่าพร้อม แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถรับมือกับความจริงที่เขาซ่อนอยู่ได้

แต่ในขณะนี้ เขากลับรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไป ราวกับว่าคำพูดของเธอมีพลังที่จะทำให้เขาเริ่มเชื่อในสิ่งที่ไม่เคยเชื่อมาก่อน

“ขอบคุณครับ” เขาพูดเสียงแผ่ว ก่อนจะหันไปมองรอบๆ สวนที่ยังคงเงียบสงบ

อลิซาเบธยิ้มให้เขา “ไม่ต้องขอบคุณค่ะ การที่เราทำให้กันและกันแข็งแกร่งขึ้น... มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอบคุณ”

เวลาผ่านไปสักพัก ภูริทัศน์หันไปมองทางอื่น ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ผมอาจจะต้องตัดสินใจบางอย่างเร็วๆ นี้ แต่ผมไม่อยากให้สิ่งนั้นมาทำให้เราห่างกัน... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

อลิซาเบธหันมามองเขาอย่างมั่นใจ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะอยู่ข้างๆ คุณค่ะ... อย่างที่บอกไป”

ภูริทัศน์พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันไปเดินออกจากสวนโดยมีอลิซาเบธเดินเคียงข้างไปด้วย ทั้งสองยังคงเดินเคียงข้างกัน แม้ว่าจะยังไม่แน่ใจในสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันไปด้วยกัน...

บทที่ 8

หลังจากที่ทั้งสองเดินออกจากสวนด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยการเปิดใจและความมั่นใจใหม่ๆ พวกเขายังคงใช้เวลาร่วมกันในช่วงเย็นที่อากาศเย็นสบาย ภูริทัศน์เริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นในความสัมพันธ์ของพวกเขามากขึ้น ในขณะที่อลิซาเบธเองก็เริ่มรู้สึกว่าเธอกำลังค้นพบบางสิ่งในตัวเขาที่ทำให้เธอไม่อยากให้มันจบลง

หลังจากนั้นหลายวัน ภูริทัศน์เริ่มเข้ามาช่วยดูแลสวนของอลิซาเบธบ่อยขึ้น เขาเคยเป็นคนที่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง ไม่เคยต้องการความช่วยเหลือจากใคร แต่ในครั้งนี้ เขากลับพบว่าการทำงานในสวนไม่ได้แค่เป็นการใช้เวลาหลบหนีจากความวุ่นวายภายในใจ แต่ยังทำให้เขารู้สึกถึงการพักผ่อนที่แท้จริง การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและงานที่เรียบง่ายทำให้เขาสามารถหลบหนีจากความเครียดที่สะสมมานานได้

วันหนึ่ง เมื่อภูริทัศน์กำลังจัดการต้นไม้ในส่วนที่ใกล้กับโรงเรือนของสวน เขาหันไปเห็นอลิซาเบธที่เดินเข้ามาใกล้ มือของเธอประคองถ้วยกาแฟในมือ พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกว่าความรู้สึกในใจของเขาเริ่มเป็นที่พึ่งพาได้มากขึ้น

“กาแฟครับ” อลิซาเบธยิ้มให้ ขณะที่ยื่นถ้วยกาแฟให้เขา

ภูริทัศน์รับมันมาอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณครับ” เขาดูเหมือนจะชื่นชมในความอ่อนโยนของเธอที่ยังคงปรากฏอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะพยายามปิดกั้นความรู้สึกเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา

“วันนี้ดูเหมือนว่าคุณจะตั้งใจทำงานมากกว่าปกติเลยนะคะ” อลิซาเบธทัก

ภูริทัศน์หันไปมองเธอและยิ้มเล็กน้อย “บางครั้งการทำงานให้สวนมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายกว่าอะไรอื่น ผมชอบที่จะให้มันเป็นระเบียบเรียบร้อย”

อลิซาเบธยิ้มเห็นด้วย “ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน บางครั้งสวนนี้เหมือนกับชีวิตของเรา... ถ้ามันไม่ถูกจัดระเบียบ ทุกอย่างก็จะเริ่มไม่เป็นที่ที่เราต้องการ”

ภูริทัศน์เงียบไปสักครู่ ทบทวนคำพูดของเธอ มันทำให้เขาคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาเคยหลีกเลี่ยง หรือแม้แต่ความรู้สึกที่เขาไม่เคยเปิดใจยอมรับ “บางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมบางสิ่งได้ แต่ทำสวนทำให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างสามารถมีระเบียบได้”

“มันดีนะคะ ที่คุณเริ่มเข้าใจความรู้สึกนั้น” อลิซาเบธพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “การจัดการชีวิตไม่จำเป็นต้องทำให้เราเหนื่อยจนเกินไป... มันแค่ต้องการเวลาและความตั้งใจ”

ภูริทัศน์หันไปมองสวนรอบๆ เขาเห็นว่ามีต้นไม้ที่ยังคงต้องการการดูแลอีกมาก บางครั้งเขารู้สึกว่าเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของมัน—ปลูกและดูแลให้มันเติบโต จนในที่สุดเขาก็เริ่มเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ในทุกการกระทำที่เขาทำลงไป

“คุณคิดว่า... ถ้าผมดูแลสวนนี้ต่อไปให้สมบูรณ์แบบ คุณจะเห็นความแตกต่างในตัวผมไหม?” เขาถามพลางยิ้มขี้เล่น

อลิซาเบธหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยืนใกล้ๆ เขาและมองไปยังต้นไม้ที่เขากำลังดูแล “ถ้าคุณดูแลสวนได้ขนาดนี้ ฉันก็คิดว่าคุณคงสามารถดูแลทุกสิ่งในชีวิตได้ดีพอๆ กันค่ะ”

ภูริทัศน์หันมองเธออย่างพิจารณา ก่อนจะพูดเสียงเบา “ผมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น... ผมไม่เคยรู้สึกว่าการดูแลอะไรบางอย่างสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนได้ดีขนาดนี้”

อลิซาเบธยิ้มกว้างขึ้น แล้วมองไปที่สวนที่เต็มไปด้วยความงามที่เขากำลังสร้าง “มันไม่ใช่แค่การดูแลสวน แต่มันคือการดูแลตัวเองและคนที่เราให้ความสำคัญค่ะ”

ทั้งสองยืนอยู่ท่ามกลางสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวสด เสียงนกร้องขับกล่อมบรรยากาศอย่างสงบ ความสัมพันธ์ระหว่างภูริทัศน์และอลิซาเบธเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กน้อย ทั้งสองต่างรู้สึกถึงการเติบโตที่เกิดขึ้นภายในตัวเองและต่อกัน ในระหว่างการทำงานร่วมกัน พวกเขาค่อยๆ เริ่มเปิดใจให้กับกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ภูริทัศน์หันไปมองเธออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความจริงจัง “ผมคิดว่าเราคงต้องคุยกันเรื่องการทำธุรกิจต่อไป... แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะคิดถึงเรื่องนั้น”

อลิซาเบธพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะตอบด้วยเสียงเบา “ไม่เป็นไรค่ะ เราค่อยๆ สร้างมันขึ้นมา... เราค่อยๆ เรียนรู้กันไปในทุกๆ วัน”

ภูริทัศน์ยิ้มให้เธอ แล้วหันกลับมาสนใจงานในสวนอีกครั้ง สวนที่เขากำลังดูแลอย่างตั้งใจ เริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่เริ่มเติบโตในตัวเขาเอง ความสัมพันธ์ที่เคยซับซ้อน กลับดูง่ายขึ้นเมื่อเขายอมเปิดใจและยอมให้คนที่เขาไว้ใจอยู่เคียงข้าง

ทั้งสองจึงค่อยๆ เดินไปด้วยกัน ภูริทัศน์คอยดูแลสวนอย่างตั้งใจ ขณะที่อลิซาเบธคอยให้กำลังใจเขา ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงเป็นเหมือนกับการปลูกต้นไม้—ค่อยๆ เติบโต รอวันที่มันพร้อมจะเบ่งบาน

บทที่ 9

หลังจากวันที่ภูริทัศน์เริ่มดูแลสวนอย่างตั้งใจ และการพูดคุยกันระหว่างเขากับอลิซาเบธทำให้ทั้งสองเริ่มเข้าใกล้กันมากขึ้น ภูริทัศน์เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงภายในตัวเอง เขาคิดว่าเขามองเห็นสิ่งที่เขาไม่เคยให้ความสำคัญมาก่อน—ความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นจากความอ่อนโยนและการร่วมมือกัน แม้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะมีความซับซ้อนในตัวเอง แต่ก็เริ่มมีความหมายมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้จะมีความรู้สึกอบอุ่นที่เริ่มเติบโตขึ้น แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังถูกมีกำแพงบางอย่างที่ไม่สามารถข้ามไปได้ ความรักระหว่างทั้งสองยังคงเป็นความรักต้องห้ามที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ภูริทัศน์รู้ดีว่าเขาเป็นแค่คนสวน และอลิซาเบธก็ไม่สามารถเดินทางออกจากสถานะของเธอได้ง่ายๆ แต่ทุกครั้งที่เขามองเธอ ความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็ยังคงท่วมท้นหัวใจ

วันหนึ่งในช่วงเย็นที่สวนเริ่มกลับเข้าสู่ความเงียบสงบ ภูริทัศน์กำลังจัดการต้นไม้ในส่วนที่ใกล้กับน้ำพุ เขาหยุดพักสักครู่เพื่อดื่มน้ำและมองไปที่ท้องฟ้าที่เริ่มคลุมไปด้วยสีทองจากแสงแดดที่กำลังจะลับขอบฟ้า แต่ท่ามกลางความเงียบสงบของสวน เขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้

เมื่อหันไป เขาเห็นอลิซาเบธยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา ใบหน้าของเธอดูเคร่งเครียดและแฝงไปด้วยความรู้สึกที่เขารู้สึกได้ในทันที

"อลิซ?" เขาถามเสียงนุ่ม พร้อมกับค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เธอ

อลิซาเบธเงยหน้าขึ้นและมองเขา ตากลมของเธอเต็มไปด้วยความสับสน "ภูริทัศน์... ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังเดินทางไปในทางที่อันตราย... การที่เราค่อยๆ เข้าใกล้กันแบบนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่เราทำไม่ได้"

ภูริทัศน์หยุดยืนและมองเธออย่างตั้งใจ รู้สึกว่าคำพูดของเธอนั้นจริงจังมาก "แต่เราคงไม่สามารถห้ามความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเราได้หรอกนะ"

อลิซาเบธถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ "ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่คุณรู้ไหมว่าอะไรจะตามมาหลังจากนี้? ฉันคือคนในครอบครัวที่มีตำแหน่งสูงและอำนาจ ไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้มีสถานะเท่าเทียมกันได้"

ภูริทัศน์รู้สึกถึงการขัดแย้งในใจของตัวเอง เขาเองก็เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกที่เขามีต่อเธอได้ “ผมรู้ว่ามันยาก... แต่บางครั้งเราก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้หรอกนะ”

อลิซาเบธเงียบไปอีกครั้ง เธอเริ่มหันไปมองสวนที่ภูริทัศน์ดูแลด้วยความตั้งใจ ต้นไม้ที่เขาปลูกและดูแลมาด้วยมือของเขา ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบ แม้จะเป็นแค่สวนเล็กๆ แต่มันเต็มไปด้วยความพยายามและความทุ่มเทที่สะท้อนความรักที่ไม่อาจแสดงออกมาได้

“คุณทำให้สวนนี้สวยงามมาก... แต่บางครั้งสิ่งที่เราสร้างมันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเจ็บปวดในตอนท้าย” อลิซาเบธพูดด้วยน้ำเสียงเงียบ

ภูริทัศน์เดินเข้าไปใกล้เธอและยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง "ถ้าเราจะเจ็บปวดด้วยกัน มันก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียว..."

อลิซาเบธหันไปมองมือของเขา แต่เธอยังไม่ยอมยื่นมือไปจับ “ภูริทัศน์... เราต้องตัดสินใจแล้วว่าเราจะไปในทางไหนต่อไป”

ภูริทัศน์ยืนอยู่ท่ามกลางสวนแห่งนี้ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของความรู้สึกภายในใจของเขา สวนที่ดูสวยงามเพราะการดูแลของเขา แต่ก็แฝงไปด้วยความซับซ้อนที่ยากจะอธิบาย

“ผมจะทำให้สวนนี้สวยงามที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ แต่ถ้ามันต้องการให้ผมยืนเคียงข้างคุณมากกว่านี้ ผมจะไม่ยอมถอยไปง่ายๆ...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง แต่ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่สามารถซ่อนไว้ได้

อลิซาเบธเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง จากนั้นเธอก็พูดขึ้นเสียงเบา “ผมก็คิดเหมือนกัน... แต่ถ้าคุณยืนอยู่ข้างๆ ผมในตอนนี้ มันจะทำให้ทั้งสองต้องสูญเสียสิ่งสำคัญมากกว่าที่คิด”

ภูริทัศน์รู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร และความจริงนั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด เขารู้ว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับความรักต้องห้าม ความรักที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในสังคมที่มีกฎเกณฑ์ที่ไม่ยอมให้ความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่เมื่อเขายืนอยู่ตรงนี้ เขาก็รู้ว่าไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร เขาก็ไม่สามารถหยุดรักเธอได้

“แล้วเราควรทำอย่างไร?” เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม

อลิซาเบธเงียบไปอีกครั้ง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความยากลำบากที่ไม่สามารถอธิบายได้ “เราอาจต้องห่างกันสักพัก... เพื่อให้ทุกอย่างสงบลง... เพื่อให้เราทั้งสองมีเวลาคิด”

ภูริทัศน์มองเธอด้วยความเข้าใจ แม้จะรู้ว่าเขากำลังต้องทนทุกข์จากการตัดสินใจนี้ แต่เขาก็ยังคงเคารพความคิดของเธอ “ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด... ผมจะเคารพมัน”

บทที่ 10

อลิซาเบธมองเขาอย่างซึ้งใจ ก่อนจะพูดเบาๆ "บางครั้งการห่างกันคือสิ่งที่จำเป็นที่สุด... แต่ไม่ว่าเราจะห่างกันแค่ไหน ผมจะไม่ลืมสิ่งที่เรามี"

ภูริทัศน์หันไปมองสวนที่เขาดูแลอย่างตั้งใจ สวนที่เต็มไปด้วยการทุ่มเทและความรักที่เขามอบให้ แม้ว่าสิ่งที่เขารักจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้ แต่เขารู้ว่าในวันหนึ่ง มันจะเป็นสิ่งที่เขายังคงดูแลต่อไป... แม้ว่าทุกอย่างจะไม่สามารถเป็นไปตามที่เขาหวังได้

หลังจากการสนทนาในสวนครั้งนั้น ภูริทัศน์รู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งใบของเขาได้หยุดหมุนไปชั่วขณะ เขากลับมาที่บ้านในช่วงค่ำ ขณะที่แสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า มือของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย มันยากเกินไปที่จะหยุดความรู้สึกของตัวเอง สำหรับอลิซาเบธ เธอคือลมหายใจของเขา แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำให้ความรักนี้กลายเป็นความจริงได้อย่างที่เขาหวัง

สองวันหลังจากนั้น ภูริทัศน์กลับไปที่สวนของอลิซาเบธตามปกติ ในใจเขายังเต็มไปด้วยความลังเลและความเศร้า เหมือนกับว่าเขาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสิ่งที่เขาไม่อาจควบคุมได้ เขาพยายามทำงานหนักเพื่อหลีกหนีความคิดเหล่านั้น แต่ทุกครั้งที่มือของเขาได้สัมผัสใบไม้และดอกไม้ในสวน เขากลับรู้สึกถึงการเชื่อมโยงบางอย่างที่ไม่อาจหลีกหนีได้

ระหว่างที่เขากำลังจัดการตัดแต่งกิ่งไม้ใกล้ๆ น้ำพุ เขาหันไปมองเห็นอลิซาเบธยืนอยู่ที่ขอบสวนอีกฝั่งหนึ่ง เธอยืนมองเขาเงียบๆ เช่นเดียวกับเขาที่มองเธอ เขารู้ดีว่าเธอคงไม่มาเพื่อแค่เดินเล่นในสวนที่เขาดูแล แต่บางทีเธออาจมีคำพูดอะไรบางอย่างที่จะทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น

"ภูริทัศน์..." เสียงของอลิซาเบธดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงบของสวน

ภูริทัศน์หันไปมองเธออย่างตั้งใจ "อลิซ?"

อลิซาเบธเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เขาสัมผัสได้ทันที "ฉัน... ฉันไม่รู้จะพูดยังไง" เธอหยุดยืนข้างๆ เขาแล้วมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ น้ำพุ "แต่ฉันไม่สามารถปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปแบบนี้ได้"

ภูริทัศน์หยุดทำงานและหันไปมองเธอ "คุณไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก ผมเข้าใจดี"

อลิซาเบธหันไปมองเขา รู้สึกว่าคำพูดของเขาทำให้ใจเธออ่อนแอ "ฉันก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้... ฉันอยากให้ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่ความจริงมันเจ็บปวดเกินไป"

ภูริทัศน์นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ผมรู้ว่ามันยากเกินไปสำหรับเราทั้งสอง แต่บางทีการห่างกันอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด"

"ทำไม?" อลิซาเบธหันมามองเขาอย่างสับสน "ทำไมถึงไม่ห่างกันสักพัก? มันคงทำให้เราคิดได้มากขึ้น"

ภูริทัศน์มองไปที่ดอกไม้ในสวนก่อนจะตอบ "เพราะเมื่อเราห่างกัน เราจะไม่สามารถสัมผัสได้ว่าเราแค่กำลังหลบหลีกความรู้สึกบางอย่างที่แท้จริง ทุกครั้งที่ผมอยู่ห่างจากคุณ ผมรู้สึกเหมือนเสียอะไรบางอย่างไป"

อลิซาเบธรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกที่เขาพูดทำให้เธอเริ่มรู้สึกถึงการเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาอีกครั้ง เธอเดินไปข้างๆ เขา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ "แต่ฉันไม่สามารถให้คุณอยู่ในชีวิตของฉันได้ ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในสถานะที่เหมาะสมกับฉัน"

ภูริทัศน์หันไปมองเธอ "แล้วถ้าผมไม่ต้องการสถานะนั้นล่ะ? ถ้าผมแค่ต้องการคุณในชีวิตของผมโดยไม่ต้องสนใจสถานะอะไร?"

อลิซาเบธเงียบไป ไม่สามารถตอบอะไรได้ เพราะคำพูดของเขาทำให้เธอเริ่มลังเล ว่าความสัมพันธ์นี้มันคุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงหรือไม่ เธอรู้ดีว่าอนาคตของเธอถูกกำหนดด้วยกฎเกณฑ์ทางสังคม แต่สิ่งที่ภูริทัศน์พูดกลับสะท้อนความจริงในใจเธอ

"คุณอยากให้ทุกอย่างง่ายขึ้น แต่เรารู้ดีว่าไม่มีทาง" อลิซาเบธพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ

ภูริทัศน์มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด "บางครั้งเราต้องตัดสินใจว่าเราจะทำอะไรเพื่อไม่ให้ความรักของเราถูกทำลายไป"

อลิซาเบธหันไปมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน "ภูริทัศน์... ความรักของเรา... มันจะทำให้ทุกอย่างพังทลาย ฉันไม่อยากให้เราสองคนต้องเสียทุกอย่างไป"

ภูริทัศน์ถอนหายใจหนักๆ "ถ้าคุณบอกว่าความรักของเราทำให้ทุกอย่างพังทลาย ผมก็จะปล่อยไป... แต่ในใจของผม ผมไม่สามารถปล่อยให้คุณไปได้ง่ายๆ"

ในตอนนี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดนิ่ง และทั้งสองยืนอยู่ท่ามกลางสวนที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบ ดอกไม้ที่เขาดูแลแทบจะเติบโตขึ้นได้ในทุกๆ วัน ก็เหมือนกับความรักของเขาและอลิซาเบธ ที่เต็มไปด้วยการเจริญเติบโตอย่างเงียบๆ แม้จะมีความรักต้องห้ามที่ต้องเผชิญ

"ภูริทัศน์..." อลิซาเบธพูดด้วยน้ำเสียงสั่น "ถ้าเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้... ฉันจะทำยังไง?"

ภูริทัศน์ยิ้มเบาๆ เขายืนอยู่ข้างๆ เธอ หันมองสวนที่เขาดูแลจนทุกอย่างเริ่มสวยงาม เขาตัดสินใจแล้ว "ถ้าเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันในตอนนี้... ก็ขอให้ความรักของเราเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในทุกช่วงเวลา"

เขาคลายมือออกและก้าวถอยหลังเล็กน้อย ทิ้งความเงียบสงบไว้ในสวนที่สวยงามราวกับเป็นอนุสรณ์ของความรักที่ไม่อาจเป็นจริงได้

บทที่ 11

หลังจากบทสนทนาครั้งนั้น ในความเงียบที่เหมือนจะตัดขาดระหว่างภูริทัศน์และอลิซาเบธ ทั้งสองยังคงยืนอยู่กลางสวนที่เขาเองดูแลมันอย่างตั้งใจ แต่ละคนต่างมีความคิดที่หลากหลายวนเวียนในหัว มันเหมือนกับเป็นการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่บางครั้งก็เหมือนกับว่าความเงียบในใจอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

เช้าวันถัดมา เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมาพร้อมกับแสงสีทองที่สาดส่องผ่านต้นไม้ ภูริทัศน์กลับมาที่สวนตามปกติ เพื่อดูแลต้นไม้และดอกไม้ที่เขารู้ดีว่ามันต้องการมือที่มีความละเอียดอ่อนเหมือนกับหัวใจของเขาเอง เขาเดินผ่านประตูไม้ที่มีเส้นใบไม้พันกัน สัมผัสถึงความเย็นของเช้าวันใหม่ และเสียงของใบไม้ที่ลู่ไปตามสายลมเป็นเสียงที่ทำให้เขารู้สึกสงบ

ในระหว่างที่เขากำลังจัดการกับดอกไม้แถวต้นกุหลาบ อลิซาเบธก็เดินเข้ามาหาเขาในตอนเช้า เธอใส่ชุดเดรสสีนวลที่มีสีสันอ่อนๆ สอดคล้องกับบรรยากาศของสวน

ภูริทัศน์เงยหน้าขึ้นมองเธอและยิ้มเล็กน้อย แม้จะยังมีความรู้สึกเจ็บปวดจากคำพูดของเธอเมื่อคืนนี้ แต่เขาก็พยายามทำใจให้สงบ “เช้าแล้วครับ คุณอลิซาเบธ”

อลิซาเบธยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินเข้าใกล้เขา เธอรู้สึกถึงความไม่สบายใจที่ยังคงอยู่ในอากาศ ความรู้สึกที่เหมือนทั้งสองคนยังไม่สามารถข้ามผ่านเส้นแบ่งนั้นได้

“ภูริทัศน์…” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความลังเล ก่อนจะหยุดยืนข้างๆ เขา “เมื่อคืน… ฉันคิดหลายอย่าง ฉันไม่ควรพูดแบบนั้น”

ภูริทัศน์หันมามองเธอ เขารู้ดีว่าเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เขาเจ็บปวด แต่ทั้งคู่ต่างรู้ว่าความสัมพันธ์นี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มบางๆ ให้เธอ

อลิซาเบธถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อ “ฉันรู้ว่าความรักของเรา... มันไม่ง่าย และมันอาจจะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่… ฉันไม่อยากให้เราเสียโอกาสที่จะได้ทำอะไรให้มันดีที่สุด”

ภูริทัศน์หันไปมองสวนที่เขากำลังดูแลและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมก็เข้าใจดีครับ คุณอลิซาเบธ แต่บางครั้งความรักก็ไม่สามารถจะเลือกได้ว่าเราจะรักใคร หรือไม่รักใคร”

เธอหันมามองเขาในขณะที่ความคิดในหัวหมุนไปมา การพูดคุยกับภูริทัศน์ในวันนี้รู้สึกแตกต่างจากทุกครั้ง เธอเริ่มรู้สึกว่าอาจจะมีทางออกบางอย่างที่ไม่ต้องสูญเสียกันไป

“คุณภูริทัศน์...” อลิซาเบธตัดสินใจพูดขึ้นมาอย่างตั้งใจ “บางที… การที่คุณยังอยู่ที่นี่กับฉันในทุกวัน ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันเหมือนกับความรักที่เราไม่สามารถควบคุมได้ มันเป็นความรู้สึกที่…” เธอหยุดพูด สบตากับเขาอย่างไม่แน่ใจ

ภูริทัศน์ยิ้มและเดินเข้าหาเธอ ชะลอการเคลื่อนไหวเล็กน้อยราวกับกำลังเลือกคำพูดให้เหมาะสม “ถ้าเราไม่ยอมรับมัน แล้วเราจะได้อะไรจากการหนีไปล่ะครับ?”

อลิซาเบธก้มหน้าลงอย่างหนักใจ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถามที่ลึกซึ้ง เธอรู้สึกถึงการต่อต้านทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจ ความรักที่มาพร้อมกับความผิดหวัง ความไม่สามารถที่จะเลือกได้ระหว่างสองสิ่งที่สำคัญในชีวิต

“ภูริทัศน์…” เธอพยายามระงับความรู้สึกที่กำลังจะระเบิดออกมา “ฉันกลัวว่า ถ้าเราทำตามความรู้สึกของเราแล้ว มันอาจจะทำให้ทุกอย่างพังทลายไปหมด ฉันไม่อยากให้เราสองคนต้องเสียใจกับสิ่งที่อาจจะไม่เป็นจริง”

ภูริทัศน์ก้าวไปข้างหน้าและยืนข้างๆ เธอ เงียบๆ สักพักก่อนจะพูด “ผมก็รู้ครับ คุณอลิซาเบธ แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเราทั้งสองพยายามสู้ไปด้วยกัน ทุกอย่างอาจจะไม่พังทลายอย่างที่คุณกลัว เราทั้งคู่สามารถสร้างทางเลือกใหม่ได้”

อลิซาเบธเงียบไปเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น การที่ภูริทัศน์พูดแบบนี้มันทำให้เธอรู้สึกว่าเธออาจจะทำผิดที่เก็บตัวเองไว้ในกรอบของความกลัว ความไม่แน่ใจ และความถูกต้องในทางสังคม

“คุณหมายความว่า... เราจะพยายามกันจริงๆ ใช่ไหม?” อลิซาเบธถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลังเล

ภูริทัศน์หันไปมองเธอ ดวงตาของเขาจริงจังและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ใช่ครับ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณจนกว่าคุณจะพร้อม”

คำพูดนั้นทำให้อลิซาเบธรู้สึกถึงความอบอุ่นในใจ การที่เขาพูดออกมาแบบนั้น ทำให้ความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนในใจเริ่มแตกออก เธอไม่สามารถหลีกหนีความรักนี้ได้อีกแล้ว และบางทีการเดินไปข้างหน้าในทางที่ไม่แน่นอน อาจจะไม่ใช่เรื่องที่แย่เสมอไป

“ถ้าอย่างนั้น…” เธอพูดอย่างระมัดระวัง “เราจะลองดูกันจริงๆ ใช่ไหม?”

ภูริทัศน์ยิ้มกว้างและยืนยันอีกครั้ง “ใช่ครับ เราจะลองกันดู”

ในที่สุด สวนที่เขาดูแลด้วยมือของเขา กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่ ความรักที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด ทุกอย่างดูเหมือนจะค่อยๆ คลี่คลายไปตามเส้นทางที่ทั้งสองเลือกที่จะเดินไปด้วยกัน

บทส่งท้าย

หลายเดือนหลังจากที่ภูริทัศน์และอลิซาเบธตัดสินใจเดินทางไปข้างหน้าด้วยกัน ท่ามกลางความไม่แน่นอนและอุปสรรคมากมาย พวกเขาก็ได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับความรู้สึกที่ซับซ้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานในสวนที่ภูริทัศน์ดูแลและความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นภายใต้ร่มเงาของต้นไม้และดอกไม้ที่พวกเขาเคยปลูกร่วมกัน

วันหนึ่ง เมื่อฤดูที่อากาศดีๆ ใกล้จะสิ้นสุด ภูริทัศน์เดินผ่านทางเดินที่รายล้อมด้วยดอกไม้สีสดใส เสียงของดอกไม้ที่ลู่ไปตามลมและเสียงนกร้องทำให้บรรยากาศของสวนรู้สึกสงบและรื่นรมย์ เขาหยุดที่ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งที่เขาดูแลเป็นพิเศษ ดอกไม้สีขาวอ่อนๆ บานสะพรั่งเหมือนกับรอยยิ้มของอลิซาเบธ เขายิ้มให้กับมันเพราะมันทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่เขาและอลิซาเบธเริ่มก้าวเดินไปพร้อมกัน

ไม่นานอลิซาเบธก็เดินเข้ามาหาเขาในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนที่ตัดกับสีเขียวของต้นไม้รอบตัว “คุณภูริทัศน์ ค่ะ” เธอเรียกเขาเสียงเบา ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นเขาหยุดอยู่ใกล้ต้นไม้เก่า “คุณชอบดอกไม้ต้นนี้เหรอคะ?”

ภูริทัศน์หันมามองเธอ รอยยิ้มของเขาอบอุ่น “ใช่ครับ มันเหมือนกับช่วงเวลาของเราที่ผ่านมา มันเติบโตขึ้นช้าๆ แต่มั่นคง เหมือนกับความรักของเรา”

อลิซาเบธมองดอกไม้ในมือของเขาแล้วพยักหน้า “ฉันเองก็รู้สึกเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทาง การที่เรามาอยู่ในจุดนี้ มันทำให้ฉันมั่นใจมากขึ้นว่า บางทีการรักกันอย่างเปิดใจ... มันไม่ใช่สิ่งผิด”

ภูริทัศน์ยิ้มกว้างและยืนใกล้ๆ เธอ “มันไม่ใช่สิ่งผิดหรอกครับ ถ้าหากเราเชื่อในตัวเองและความรู้สึกของเรา บางครั้งโลกก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง”

อลิซาเบธมองเขาด้วยสายตาที่อบอุ่นและมั่นใจขึ้นกว่าเดิม ความรักที่พวกเขามีไม่ใช่ความรักที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์หรือคำสั่งสอนของสังคม แต่เป็นความรักที่เกิดขึ้นจากการเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องในใจของตัวเอง

ภูริทัศน์ยื่นมือออกไปข้างหน้าและจับมือเธอเบาๆ “วันนี้ คุณอยากทำอะไรครับ?”

อลิซาเบธขยับเข้าใกล้และจับมือเขากลับ “วันนี้ ฉันอยากไปเดินเล่นในสวน กับคุณค่ะ”

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันท่ามกลางสวนที่เขาดูแลเหมือนชีวิตของเขาเอง เส้นทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและความมุ่งมั่น แม้ว่าจะเคยมีความลังเลและความกลัวระหว่างทาง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว

“ภูริทัศน์” อลิซาเบธพูดอย่างนุ่มนวลขณะที่เดินเคียงข้างเขา “ที่เราทำไปทั้งหมดนี้ มันคือการเลือกที่ดีที่สุดใช่ไหมคะ?”

ภูริทัศน์หันมามองเธอด้วยสายตาที่มั่นคง “ใช่ครับ ทุกสิ่งที่เราผ่านมา มันคือการเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเรา ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร เราก็เลือกที่จะอยู่ข้างกัน”

ในตอนนั้นเอง พวกเขามาหยุดที่จุดที่มีมุมมองที่สวยที่สุดของสวนที่ภูริทัศน์ดูแล เมื่อมองไปไกลๆ พวกเขาจะเห็นผืนน้ำในสระน้ำเล็กๆ ที่สะท้อนภาพของท้องฟ้าครามและต้นไม้ที่ล้อมรอบ ความสงบที่อบอวลไปทั่วทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้เป็นเพียงแค่พวกเขาสองคน

“มันสวยมากเลยนะคะ” อลิซาเบธพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข

ภูริทัศน์ยิ้มแล้วหันไปมองเธอ “มันสวยเพราะคุณอยู่ที่นี่ครับ”

เขาพูดแบบนั้นไม่ได้หมายถึงแค่การพูดไปตามน้ำ แต่มันคือความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ ความรักที่เขามีต่อเธอเหมือนกับการดูแลสวนนี้ มันอาจจะต้องใช้เวลาในการเติบโต แต่เมื่อมันเติบโตเต็มที่ มันก็จะสวยงาม

อลิซาเบธยิ้มและขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ขณะที่มือของทั้งสองยังจับกันอย่างมั่นคง เธอรู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงระหว่างพวกเขา ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูดใดๆ มาสามารถบรรยายได้

“เราจะทำให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ ใช่ไหมคะ?” อลิซาเบธถามด้วยความมั่นใจในเสียงที่อ่อนโยน

ภูริทัศน์พยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ใช่ครับ เราจะทำให้มันดีขึ้นไปด้วยกัน”

เมื่อทั้งสองมองไปที่สวนที่ดูแลกันมาเป็นเวลานาน พวกเขาก็รู้ดีว่า ความรักของพวกเขามันอาจจะเริ่มต้นจากความต้องห้ามที่ไม่สมควร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถยอมรับได้และมีความสุขได้อย่างเต็มที่

ท้ายที่สุด ความรักของพวกเขาคือการเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจและพร้อมที่จะเผชิญกับทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคำพูดของคนอื่น เพราะทุกอย่างที่พวกเขาต้องการก็คือการอยู่เคียงข้างกันตลอดไป... ในสวนที่เขาดูแลด้วยมือของเขาเอง

บทพิเศษ

เวลาผ่านไปหลายปี ความรักของภูริทัศน์และอลิซาเบธเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและมั่งคั่งเหมือนกับสวนที่พวกเขาดูแลด้วยมือและหัวใจของพวกเขาเอง บรรยากาศในสวนที่เคยเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจและความกลัวในอดีต กลายเป็นที่ๆ เต็มไปด้วยความรักและเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นไปทั่ว

ในช่วงบ่ายที่อากาศเย็นสบาย ภูริทัศน์นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ในสวนดอกไม้ที่เขาและอลิซาเบธเคยปลูกมันขึ้นมาเอง เขาเอนหลังไปพิงต้นไม้ใหญ่ที่ต้นหนึ่งซึ่งมีร่มเงาให้ความสบายและเย็นสบาย จากนั้นเขาก็มองไปที่อลิซาเบธที่กำลังหยิบขวดน้ำจากถังน้ำท่ามกลางลูกๆ ของพวกเขา

ลูกสาวคนโตของพวกเขาชื่อ "มานูเอลลา" อายุ 6 ขวบ เธอวิ่งไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินแกรนิตสีอ่อนอย่างกระตือรือร้น ตามด้วยลูกชายคนเล็ก "เบนจามิน" อายุ 4 ขวบที่พยายามวิ่งตามพี่สาว แต่ทั้งสองก็หัวเราะและล้มลงไปกับพื้นหญ้ากันอย่างสนุกสนาน

อลิซาเบธยิ้มให้กับความสุขของลูกๆ ก่อนที่จะเดินไปที่ภูริทัศน์และนั่งลงข้างๆ เขา “ดูสิคะ ลูกๆ ของเรา เริ่มโตขึ้นแล้ว” เธอกล่าวเสียงอ่อนโยน

ภูริทัศน์ยิ้มและยักไหล่เล็กน้อย “ใช่ครับ แต่พวกเขาก็ยังต้องการเราอยู่เสมอ”

อลิซาเบธหันไปมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักและขอบคุณ “ภูริทัศน์ ขอบคุณค่ะ ที่ไม่ยอมย่ำยีความฝันของเรา ตั้งแต่ตอนแรกที่เราเริ่มต้นด้วยกัน ฉันรู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ตอนนี้ กลับกลายเป็นความจริงที่งดงามมากๆ”

ภูริทัศน์ยิ้มอบอุ่นและลูบหลังมือของเธอ “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ เพราะการได้อยู่กับคุณและลูกๆ มันคือความสุขที่สุดแล้ว”

ในขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่ร่วมกัน ภูริทัศน์และอลิซาเบธมองลูกๆ ที่กำลังเล่นอยู่ในสวน ไม่ว่าจะเป็นมานูเอลลาที่หยิบดอกไม้ขึ้นมามอบให้แม่หรือเบนจามินที่วิ่งไปที่สระน้ำและเริ่มมองหากบที่เขาชอบจับเป็นพิเศษ ทั้งสองคนรู้ดีว่า การได้เห็นครอบครัวของพวกเขาเติบโตอย่างมีความสุขในสวนแห่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปรียบเทียบกับอะไรได้

บรรยากาศในสวนเต็มไปด้วยความสุขจากเสียงหัวเราะของเด็กๆ และการพูดคุยกันอย่างอบอุ่นของครอบครัวเล็กๆ ที่เติบโตในสวนนี้ ความรักที่เริ่มต้นจากความต้องห้ามในอดีต ตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ไม่อาจหวงแหนได้อีกต่อไป


ในที่สุด พวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ความรักที่เติบโตจากการเลือกที่จะเชื่อมั่นในกันและกันนั้นคือสิ่งที่งดงามและแท้จริงที่สุด พวกเขารู้ดีว่าไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเติบโตของรักที่แท้จริงได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรืออุปสรรคใดๆ ก็ตาม

เวลานี้ บทสุดท้ายของเรื่องราวนี้คงจะไม่ได้จบเพียงแค่ในบรรดาหน้ากระดาษ แต่จะคงอยู่ในสวนที่สวยงามแห่งนี้ที่เปรียบเสมือนความรักของพวกเขา ที่ทั้งสองได้ปลูกมันขึ้นมาและดูแลมันด้วยกัน


-----

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ตามติดการเดินทางของภูริทัศน์และอลิซาเบธตลอดการเดินทางในสวนแห่งความรักนี้ จากใจจริงขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจและความรักกับเรื่องราวนี้

และขอขอบคุณ ChatGPT ที่ช่วยฉันในทุกขั้นตอนของการแต่งนิยายเรื่องนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ช่วยเสริมความคิดและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ทุกฉาก ทุกตัวละคร ทุกบทสนทนา จนทำให้เรื่องราวนี้สามารถเสร็จสมบูรณ์อย่างดี ขอบคุณที่ช่วยเติมเต็มจินตนาการและสร้างความรักในโลกของตัวละครขึ้นมาอย่างงดงาม.

ขอบคุณจากใจจริงค่ะ

นามปากกา #หมื่นล้านคำรัก

----

จบตอน

✨🎧✨ ฟังฟรี นิยาย AI ✨🎧✨✨🎧✨ ฟังฟรี นิยาย AI ✨🎧✨
👇 👇 👇

                                     


[03] 🧸 คลั่งรัก: เพื่อนพ่อรสแซ่บ

🫦 โดย: ก็..แซ่บนะ ©️ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม คลั่งรัก: เพื่อนพ่อรสแซ่บ เมื่อความรักต้องห้ามระ...